วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก

ประเทศอะไรที่เล็กที่สุดในโลกเอ่ย?


ถ้าคุณตอบ "วาติกัน"


คุณถูกครึ่งหนึ่งและผิดครึ่งหนึ่ง นครรัฐวาติกันถือเป็นประเทศอย่างเป็นทางการซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในโลก (เนื้อที่ 0.44 ตารางกิโลเมตร ประชากร 921 คน (ปี 2004)) แต่หากจะมองให้กว้างกว่านั้น ยังมีอีกประเทศที่มีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่า และนั่นก็คือ..........



ซีแลนด์เป็นประเทศในทะเลเหนือ อยู่ห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร (ประมาณ 6 ไมล์ทะเล) เมืองหลวงคือซีแลนด์ (กินเนื้อที่ทั้งหมดของประเทศ) ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เพลงประจำชาติคือ E mare libertas ("เสรีภาพจากท้องทะเล" เป็นคำขวัญประจำชาติด้วย) หน่วยเงินคือซีแลนด์ดอลล่าร์ (SXD, SX$ หนึ่งดอลล่าร์สหรัฐมีค่าเท่ากับหนึ่งดอลล่าร์ซีแลนด์) มีเนื้อที่ 0.000207 ตารางกิโลเมตร (207 ตารางเมตร) และประชากร 4 คน .....

ซีแลนด์ประกอบไปด้วยฐานซึ่งฝังอยู่ใต้ทะเล เสาทรงกลมขนาดใหญ่สองต้น และดาดฟ้า ในส่วนเสากลมแบ่งเป็นเด็ค 7 ชั้น (A-G) ชั้น A คือดาดฟ้าและเป็นที่วางเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชั้น B อยู่เหนือทะเล ส่วน C-G อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ในสมัยสงคราม ชั้น B-E เคยถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงอาหารและที่พัก ชั้น F เป็นคลังอาวุธ และชั้น G เป็นที่เก็บของอื่นๆ

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีคนเริ่มเดาออกแล้ว แต่เดิมซีแลนด์ก็คือหนึ่งในสี่ป้อมกลางทะเล (HM Fort Roughs หรือเรียกกันว่า Rough Towers) ที่อังกฤษสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1944 นั่นเอง ในระหว่างสงคราม เคยมีทหารประจำการอยู่ที่นี่ประมาณ 150-300 นาย หากเมื่อสงครามจบลง ป้อมก็ถูกทิ้งให้ร้างไปตั้งแต่ปี 1956

วันที่ 2 กันยายน 1967 แพดดี้ รอย เบทส์ อดีตเรือโทประจำกองทัพเรืออังกฤษซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุเถื่อน ได้ประกาศให้ป้อมกลางทะเลดังกล่าวแยกตัวเป็นอิสระจากเขตแดนของอังกฤษ และตั้งชื่อประเทศว่าซีแลนด์ รวมทั้งตั้งตัวเองเป็นเจ้าชายรอย เบทส์ หรือเรียกอีกชื่อว่า Roy of Sealand

ประชากรของซีแลนด์ในตอนนี้ประกอบไปด้วย เจ้าชายรอย เบทส์, เจ้าหญิงโจน เบทส์, เจ้าฟ้าชายไมเคิ่ล และทหารอีกหนึ่งคน (ทหารคนนี้กับปืนไรเฟิ่ลหนึ่งกระบอกถือเป็นกองกำลังประจำเพียงหนึ่งเดียวของประเทศ หากในสถานการณ์คับขัน เจ้าชายรอย เบทส์ยืนยันว่าเขาสามารถรวบรวมกำลังทหารมาได้จากทั่วโลก (ทหารรับจ้าง?)) รายได้หลักคือการขายตำแหน่งขุนนาง เหรียญที่ระลึกและแสตมป์ ทั้งยังมีการตั้งบริษัทฮาเว่นโคซึ่งให้บริการฝากฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตอีกด้วย (จ่ายเพียง 16 ยูโร (ประมาณ 790 บาท) คุณก็จะกลายเป็นลอร์ดหรือเลดี้ของซีแลนด์ได้ในทันที

- เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1987 อังกฤษได้ประกาศขยายอาณาเขตทางทะเลของตน จากเดิม 3 ไมล์ทะเล (ประมาณ 5.5 กิโลเมตร) ไปเป็น 12 ไมล์ทะเล (ประมาณ 22 กิโลเมตร) ซึ่งการขยายอาณาเขตนี้จะทำให้ซีแลนด์ถูกล้อมโดยเขตแดนของอังกฤษจากทุกรอบด้าน หากเมื่อหนึ่งวันก่อน ในวันที่ 30 กันยายน ซีแลนด์ได้ชิงประกาศขยายอาณาเขตทางทะเลของตนไปเป็น 12 ไมล์ทะเลเช่นกัน ซีแลนด์จึงรอดจากสถานการณ์ดังกล่าวมาได้อย่างหวุดหวิด
- ซีแลนด์มีประชากรเพียง 4 คนก็จริง แต่มีทีมฟุตบอลประจำชาติอยู่ด้วย หากเนื่องจากไม่ได้เข้าร่วม FIFA หรือ UEFA จึงไม่สามารถลงแข่งในการแข่งขันอย่างเป็นทางการได้ นอกจากนี้ยังเคยส่งนักกีฬาไปร่วมการแข่งขันต่างๆหลายครั้ง (เคยได้เหรียญเงินสองเหรียญจากการแข่งกังฟูระดับโลกที่แคนาดาในปี 2007)
- 23 มิถุนายน 2006 ระหว่างที่เจ้าชายรอย เบทส์และครอบครัวไม่อยู่ในซีแลนด์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งมีอายุมากแล้วได้เกิดช้อทจนกลายเป็นเพลิงไหม้ขึ้น ในเดือนถัดมา ซีแลนด์จึงทำการซ่อมแซมภายในและเปลี่ยนระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด (ขณะเกิดไฟไหม้ อังกฤษได้ส่งคนไปช่วยทหารซึ่งเฝ้ายามอยู่เพียงคนเดียวในซีแลนด์ด้วย...เจริญ )
- ซีแลนด์ได้ประกาศขายดินแดนของตนในหนังสือพิมพ์เดย์ลี่เทเลกราฟประจำวันที่ 8 มกราคม 2007 โดยตั้งราคาอยู่ที่ 65 ล้านยูโร - 504 ล้านยูโร แต่เนื่องจากไม่ใช่การขายกรรมสิทธิ์ในประเทศ จึงไม่ใช้คำว่า sale แต่เป็น transfer แทน
ในเดือนเดียวกัน The Prirate Bay ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตจากสวีเดนได้แสดงเจตจำนงค์ในการซื้อ โดยกล่าวว่าต้องการจะสร้างซีแลนด์ให้เป็นประเทศที่ปลอดจากกฏหมายลิขสิทธิ์ทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

มาดู..ต้นกำเนิดความหมายของ...สวัสดี

ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 สวัสดี หมายถึงความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง คำทักทาย หรือพูดขึ้นเมื่อพบหรือจากกัน
สวัสดี ในส่วนที่นำมาใช้เป็นคำทักทายนั้น พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้เล่าถึงต้นเหตุเดิมไว้ว่า เจ้าหน้าที่วิทยุกระจายเสียงได้ใช้คำ "ราตรีสวัสดิ์" ลงท้ายคำพูดเมื่อจบการกระจายเสียงตอนกลางคืน โดยอนุโลมตามคำว่า "กู๊ดไนต์" (Goodnight) ของอังกฤษ แต่มีผู้ไม่เห็นด้วย ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง จึงขอให้กรรมการชำระปทานุกรมของกระทรวงธรรมการในสมัยนั้น ช่วยคิดหาคำให้ ตกลงได้คำว่า "สวัสดี" ไปใช้ และเมื่อ พ.ศ. 2476 พระยาอุปกิตศิลปสาร ได้นำไปเผยแพร่ให้นิสิต ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้เป็นคำทักทายเมื่อพบกัน จึงได้แพร่หลายใช้กันต่อมา
ครั้นต่อมาในยุคบำรุงวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของชาติ รัฐบาลในสมัยนั้น ก็เห็นชอบกับการใช้คำว่า "สวัสดี" ในโอกาสแรกที่ได้พบกัน ได้มอบให้กรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) ออกข่าวประกาศเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2486 ดังต่อไปนี้ (ตัวสะกดและการันต์ในสมัยนั้น) "ด้วยพนะท่านนายกรัฐมนตรี ได้พิจารนาเห็นว่า เพื่อเปนการส่งเสริมเกียรติแก่ตนและแก่ชาติ ให้สมกับที่เราได้รับความยกย่องว่า คนไทยเปนอารยะชน คำพูดจึงเปนสิ่งหนึ่งที่สแดงภูมิของจิตใจว่าสูงต่ำเพียงใด ฉะนั้นจึงมีคำสั่งให้กำชับ บันดาข้าราชการทุกคนกล่าวคำ "สวัสดี" ต่อกันไนโอกาสที่พบกันครั้งแรกของวัน เพื่อเป็นการผูกไมตรีต่อกัน และฝึกนิสัยไห้กล่าวแต่คำที่เปนมงคล ว่าอะไรว่าตามกัน กับขอไห้ข้าราชการช่วยแนะนำ แก่ผู้ที่อยู่ไนครอบครัวของตนไห้รู้จักกล่าวคำ "สวัสดี" เช่นเดียวกันด้วย" นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ทางราชการในสมัยนั้นได้กำหนดให้ใช้คำว่าสวัสดี ไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ.2486 แต่ปัจจุบันนี้เยาวชนไทย เมื่อพบกันแทนที่จะใช้คำว่า "สวัสดี" กลับนำเอาคำผรุสวาทมาใช้แทน ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นมงคลแก่ตนเองทั้งสิ้น นับเป็นความเสื่อมทางวัฒนธรรมด้านภาษา และจิตใจอย่างมากที่สุด ในปัจจุบันนี้มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวเมืองไทยจำนวนมาก ได้พยายามยกมือไหว้และกล่าวคำว่า "สวัสดี-Sawasdee" เพราะเข้าใจวัฒนธรรมของไทยดีขึ้น นับเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยได้ประการหนึ่ง คำว่า สวัสดี ได้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นคำของ "ชาตินิยม" เป็นวัฒนธรรม อันหยั่งรากฝังลึกลงในจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ อากัปกิริยาของการ "สวัสดี" ผนวกกับ ความมีน้ำใจไมตรีของคนไทย และรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ทำให้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำที่มีความหมายมากมายนัก
คนไทยควรจะมาร่วมกันดำรงความเป็น "ไทย" ด้วยรอยยิ้มแจ่มใสและคำทักทาย "สวัสดีค่ะ" "สวัสดีครับ"

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

วันนี้อีก10สำนวน

21. être en passe de faire qch ( = être sur le point de, être en état, en situation de ) = กำลังจะ- Il est en passe d'être nommé inspecteur.
22. être en mesure de faire qch ( = être capable de ) = สามารถ- Cette société est en mesure d'embaucher des centaines de personnes.
23. être dans la lune, = ใจลอย- Il n'entend pas ce que disent ses amis ! Il est toujours dans la lune !
24. être en lutte ( contre ou avec qn ), être en révolte contre = ต่อสู้, ต่อต้าน - Nous sommes en lutte contre toutes sortes de pollutions.
25. être au service de qn = ให้บริการ, รับใช้- Je vous remercie beaucoup. - A votre service, madame.
26. être à la disposition de qn = มีไว้ให้บริการ- Tous les livres dans cette bibliothèque sont à votre disposition.
27. être adroit de ses mains = ชำนิชำนาญ, คล่องแคล่ว- Cet artisan est très adrit de ses mains.
28. être à la merci de qn, de qch = ต้องพึ่งพา- Sur la route, on est à la merci du premier chauffard venu.
29. être au point = สมบูรณ์, เพรียบพร้อม, ทันสมัย- Le nouveau modèle est très au point.
30. être au point mort = ไม่ก้าวหน้า, ไม่คืบหน้า- La négociation entre le patron et les employés est au point mort.

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551

V.Être อีก 10 สำนวน

11. être en vacances, en congé = อยู่ในช่วงปิดภาคเรียน, มีวันหยุด,
- Les élèves et les écoliers français sont en grandes vacances de juillet à août. : นักเรียนฝรั่งเศสปิดเทอมกันตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม
12. être à la retraite = เกษียรอายุ
- Les Français, comme les Thaïlandais, sont à la retraite à 60 ans. : ชาวฝรั่งเศสเหมือนกันคนไทย คือเกษียรอายุ่ราชการตอน 60ปี
13. être aux guets = คอยเฝ้ามอง
- Pendant le cambriolage, un des voleurs est aux guets pour voir si quelqu'un approche. : ในช่วงเวลาการย่องเบา หนึ่งในขโมยกลุ่มนั้นคอยเฝ้ามองถ้าบางคนเข้ามาใกล้
-cambriolage [n.m.]การย่องเบา
14. être à la diète, au régime = จำกัดอาหาร, ระวังเรื่องอาหาร
- Elle est au régime en ce moment. Elle fait très attention à ce qu'elle mange. : หล่อนอยู่ในช่วงจำกัดอาหาร หล่อนระมัดระวังในสิ่งที่หล่อนกิน
15. être au courant de qch = รู้, อยู่ในกระแส...
- Tu es au courant de la nouvelle ? : เธอรู้ข่าวนี้ยัง
16. être à la mode = ทันสมัย, ตามแฟชั่น
- Elle porte toujours des vêtements à la mode. : หล่อนสวมเสื้อผ้าที่ทันสมัยเสมอ
17. être branché = ทันสมัย, เกาะติดกระแส...
- Ces étudiants sont branchés. : นักเรียนเป็นพวกที่ทันสมัย เกาะติดกระแส
18. ne pas être dans son assiette = รู้สึกไม่สบาย
- Pierre n'est pas dans son assiette ! Il ne peut pas finir son repas. : Pierre รู้สึกไม่สบาย เขาไม่สามารถทานอาหารได้หมด
19. être hors de soi = โกรธ, โมโห
- Les enfants ont peur quand leur père est hors de lui. : ลูกๆกลัวเวลาที่พ่อของเขาโกรธ
20. être pressé = รีบ
- Je me suis levé(e) tard cematin. Et maintenant je suis très pressé(e). : เมื่อเช้านี้ฉันตื่นสาย ตอนนี้ฉันเลยรีบมาก

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

สิว บอกอะไรได้หลายอย่าง

เราเอาเรื่องของสิวมาแนะนำกันว่ามีสิวตรงไหนหมายความว่าอย่างไร
1.ขึ้นที่หน้าผากด้านซ้าย เกี่ยวกับอวัยวะการย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต สาเหตุคือ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด
2.ขึ้นที่หว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ สาเหตุคือ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส กินอาหารรสจัด หรือกินอาหารดึกเกินไป
3.ขึ้นที่หน้าผากด้านขวา เกี่ยวกับอวัยวะการย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต สาเหตุคือ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด
4.ขึ้นที่ใบหูทั้ง 2 ข้าง อวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ ไต สาเหตุคือ ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป
5.ขึ้นที่แก้มทั้ง 2 ด้าน แก้มส่วนบนเกี่ยวกับไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวกับเหงือกและฟัน สาเหตุคือ สูบบุหรี่จัด แพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง ใช้รองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม อาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอด หรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่าง อาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน รวมทั้งโทรศัพท์ไม่สะอาด
6.ขึ้นที่รอบดวงตา 2 ข้าง เกี่ยวกับอวัยวะไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุอาจมาจากเครื่องสำอาง แว่นตา การมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก พักผ่อนน้อย หรืออาการภูมิแพ้ และขาดสารอาหาร
7.ขึ้นที่จมูกและเหนือริมฝีปาก เกี่ยวกับอวัยวะหัวใจ และระบบสืบพันธุ์ สาเหตุถ้ามีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง ผลกระทบจากฮอร์โมน การมีประจำเดือน และวัยทอง
8.ขึ้นที่ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวกับอวัยวะรังไข่ สาเหตุคือ อาจทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู แสดงว่าฟันกรามมีปัญหา อาจจะเพิ่งทำฟันมา รวมทั้งการมีประจำเดือนด้วย
9.ขึ้นที่ปลายคาง เกี่ยวกับอวัยวะ กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก สาเหตุคือ กินอาหารรสจัดไป จนทำให้ลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม และ
10.ขึ้นลำคอและหน้าอก มีสาเหตุมาจากความเครียด

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551

สำนวนที่ใช้กับ V.Être วันละ10สำนวน

1. être à qn ( = appartenir à ) = เป็นของ
- Ce livre est à Loïc. :หนังสือเล่มนี้เป็นของLoïc
2. être en avance, en retard, à l' heure, à temps = (มา)ก่อนเวลา, ช้ากว่ากำหนด, ตรงเวลา, ทันเวลา
- Elle arrive toujours en avance à son cours.:หล่อนมาถึงคอร์สเรียนของหล่อนก่อนเวลาทุกวัน
3. être de retour = กลับมา(จาก)
- Ah! Vous êtes de retour de vos vacances !: คุณกลับมาจากหยุดพักผ่อนแล้วหรอ
4. être de l'avis de qn = เห็นด้วย, มีความเห็นเหมือนกับ...
- Je ne suis pas de votre avis.:ฉันไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ
5. être d'accord avec qn = เห็นด้วย, เห็นพ้องด้วย
- Je suis d'accord avec vous pour la date du départ.:ฉันเห็นด้วยกับวันที่คุณจะออกเดินทาง
6. être pour / contre qch = เห็นด้วย / คัดค้าน
- Tout le monde est pour / contre ce projet de loi.:ทุกคนเห็นด้วย/
7. être de bonne ( mauvaise ) humeur = อารมณ์ดี (ไม่ดี)
- Mon père est toujours de bonne humeur.:พ่อของฉันมักจะมีอารมณ์ดีเสมอ
8. être sur le point de faire ( qch ) = กำลังจะ
- Nous sommes sur le point de sortir.:พวกเรากำลังจะออกเดินทาง
9. être en train de faire ( qch ) = กำลัง
- Les élèves sont en train de déjeuner à la cantine.:นักเรียนทั้งหลายกำลังทานอาหารกลางวันที่โรงอาหาร
10. être au chômage = ว่างงาน, ตกงาน
- Avec la crise économique, beaucoup d'employés et d'ouvriers sont au chômage.:ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหล่าลูกจ้างทั้งหลายพากันตกงาน

ที่มา http://www.rn.ac.th/kk/v_etre.html

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

Phuket




Phuket désigne à la fois une province, une île et une ville. L'île s'étend sur environ 60 kilomètres du nord au sud, et une vingtaine de kilomètres d'est en ouest, soit 810 km2 de superficie. C'est la plus grande île de Thaïlande. Son extrémité nord est reliée au continent par un pont de quelques centaines de mètres, le pont des Sarrasins. Phuket est située sur la côte ouest de l'isthme thaïlandais, donc côté océan Indien, appelé en bord de côte, mer Andaman. L'île est séparée de la capitale, Bangkok, par tout juste 1000 km.


Les principales richesses de Phuket sont le tourisme, les plantations d'hévéas (arbres à caoutchouc) et de noix de coco et de cajou, l'étain (richesse du passé car actuellement en très fort déclin, voire complètement disparue), et enfin la pêche. C'est, après Bangkok, la région la plus riche de Thaïlande. Un quart de ses 230 000 habitants résidents (hors tourisme et main d'oeuvre immigrée) vit à Phuket-Ville, la capitale administrative de l'île. La population de Phuket est formée de Thaïs, de Chinois, de Musulmans (d'origine Malaise) ici très nombreux (environ 35 % de la population totale de Phuket), de Chao Nam (gitans de la mer) et enfin d'Européens et d'Indiens venus tenter fortune dans la restauration et le tourisme pour les premiers, dans le commerce des étoffes pour les seconds.

L' île de Phuket a connu le succès dans les années 70, avec l'arrivée des hippies, amplifié dans les années 80 par la mode du soleil en hiver. C'est à cette période que l'île a connu son plein essor touristique, ce qui n'a pas été sans une certaine dégradation de ses paysages magnifiques. La construction anarchique de complexes hôteliers en bordure même des plages a dévisagé les plus belles d'entre elles. Malgré cela, Phuket reste une des destinations "soleil" les plus prisées, et ses nombreuses plages et petites baies isolées permettent encore aujourd'hui de trouver un petit coin de paradis à l'écart du flot des touristes.
On estime à 3 millions le nombre de touristes qui visitent chaque année Phuket. Ils viennent pour la majorité d'entre eux d'Europe (Allemagne, France, Italie et surtout pays nordiques...) mais aussi d'Asie (Corée, Hong Kong, Japon...).
L'île de Phuket toute entière est splendide, mais c'est surtout les côtes ouest et sud qui semblent sorties d'un songe exotique. Le littoral s'enorgueillit d'une palette extraordinaire de couleurs et de paysages majestueux. Les collines sont recouvertes d'épaisses forêts tropicales qui descendent jusqu'aux plages de sable blanc, bordant une mer émeraude. Les récifs coralliens, affleurants certaines baies, sont autant de trésors à admirer. Et nul n'est besoin d'être plongeur pour profiter de ces splendeurs. Un simple masque, un tuba et une paire de palmes suffisent pour profiter du spectacle des coraux et des poissons multicolores. Si vous avez de la chance, vous pourrez même admirer des langoustes et des poulpes. Pour les plongeurs plus expérimentés, Phuket offre parmi les plus beaux sites de plongée du monde.

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

j'en ai marre de .....

J'en ai marre de pleurer
pour toi que je ne cesse d'aimer

j'en ai marre de me dire
que sans toi je n'aurais pas d'avenir

j'en ai marre de penser
que tu ne pourras jamais m'aimer

j'en ai marre de t'attendre
et de penser aux moments les plus tendres

j'en ai marre de crier
"oui, je t'aime pour l'éternité"

j'en ai marre de toi
qui me pousses dans le désarroi

j'en ai marre de tout ce qui m'entoure
j'ai juste besoin de ton amour

toi qui as tout fait pour que je te remarque
toi qui as tout fait pour que je t'aime

aujourd'hui peux-tu m'aider à t'oublier
et me dire que toi et moi ce n'est que le passé...

.....ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ ที่ช่วยแก้ให้.....

Épiphanie วันที่กษัตรย์ต่างๆมาชื่นชมพระเยซู

L'Épiphanie est une fête chrétienne qui célèbre la présentation de Jésus aux trois Rois mages. Elle a lieu le 6 janvier (ou le premier dimanche après le 1er janvier, comme le mentionnent tous les calendriers publiés en France) . Épiphanie est un mot d'origine grecque, Ἐπιφάνεια Epiphaneia qui signifie « manifestation » ou « apparition » (du verbe φάινω phainô, « se manifester, apparaître, être évident » ). La fête a des sens différents selon les confessions.

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551

François-Vincent Raspail

Personnage marquant du XIXe siècle, François-Vincent Raspail, chimiste, médecin et homme politique, naît à Carpentras (Vaucluse), le 29 janvier 1794. Il décédera à Arcueil (Seine), le 7 janvier 1878. Il fut candidat à l'élection présidentielle française de 1848.
Il rompit avec l'Église et vint à Paris. Professeur aux collèges Stanislas et Sainte-Barbe, il fut chassé de l'enseignement en raison de ses opinions politiques. Ses recherches embrassant plusieurs disciplines le conduisirent à la découverte des microbes (qui ne fut reconnue que quarante ans plus tard !) et l'exposèrent aux persécutions de la science officielle.
Son père, aubergiste, très pratiquant, le destine à entrer dans les ordres, le fait entrer, très jeune, au séminaire d’Avignon. Renvoyé pour indiscipline, il est admis au collège de la ville où il devient régent.
Pendant les Cent-Jours, Raspail y composera une ode restée célèbre, à la gloire de l'Aigle. Il sera révoqué peu après la chute de l’Empereur.
Qu'importe ; Raspail, qui doit entamer des études juridiques, « monte à Paris » en 1816. Là, il sera expulsé du collège Stanislas pour avoir rédigé des pamphlets républicains.
Devenu surveillant (répétiteur) pour financer ses études, il s’éloigne peu à peu des convictions familiales, et adhère à la libre-pensée.
En 1821, son ouvrage : Les Missionnaires en opposition avec les bonnes mœurs, véritable brûlot, fait scandale.
L’année suivante, dégoûté du droit, il s’inscrit en faculté de médecine. Là, il validera deux options personnnelles
-la rédaction de plusieurs articles, remarqués, sur les tissus animaux et végétaux
-son adhésion à la charbonnerie. Société secrète, intriguant contre le régime en place et organisée sur le modèle italien « des ventes » (une « vente » étant une cellule de quelques conjurés). Il sera d'ailleurs emprisonné à plusieurs reprises, comme carbonaro, sous la Monarchie de Juillet.
+++++++++++++++
aubergiste [n.] เจ้าของโรงแรม
séminaire [n.m.] สามเณราลัย โรงเรียนสอนศาสนา
gloire [n.f.] เกียรติศักดิ์ ความเลื่องชื่อลือนาม
pamphlet [n.m.]หนังสือเล่มเล็กๆ ถ้อยคำถากถาง