วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550

มุมมองในชีวิต

หากคุณไม่อาจที่จะหลับไหลในยามราตรีนี้
ใคร่ครวญให้ดียังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน
ไม่ต้องรันทด หากท่านอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้
เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ
หากวันนี้มีงานที่กวนใจท่านมาก คิดเสียว่า
ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานนานกว่าสามเดือนแล้ว
ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง
อย่าเพิ่งคิดสั้นเพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก
อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น
จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำไม่มีวันพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ
แม้ต้องเดินเสียไกลลิบ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย
ให้นึกถึงผู้ที่เป็นอัมพาตที่อยากอาสาเดินแทน
หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น
ยังดีกว่าเป็นผู้ป่วยเคมีบำบัดที่หวังเพียงว่า ผมจะงอกได้อีก
ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก จงดีใจเถิด
เพราะยังประเสริฐกว่าผู้ที่ตายไปก่อนจะมีโอกาสใด
หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่ จะแย่กว่าเป็นไหนไหน
ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550

สำนวนต่างๆ(ไปห้องสมุดเลยเอามาฝาก)

avoir besoin = ต้องการ
avoir faim = หิว
avoir soif = กระหายน้ำ
avoir bonne mine = สุขภาพดี
avoir peur = กลัว
avoir tort = ผิด
avoir raison = ถูก
avoir honte = อาย
avoir sommeil = ง่วงนอน
avoir froid = หนาว
avoir chaud = ร้อน
avoir mal = เจ็บ
demander pardon = ขอโทษ
demander conseil = ขอคำแนะนำ
donner avis = ให้ความเห็น
donner ordre = สั่ง
faire attention = ระวัง
prendre congé = ลาหยุดพักผ่อน
prendre garde = ดูแลรักษา
rendre visite = เยี่ยม
trouver moyen = หาหนทาง

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

ชื่อมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกในtop3,000ของโลก

จากกระทู้เดิมอ่ะครับผมได้เข้าไปดูแล้วมันมีมากก่า8 เลยเอาลงมาให้ดูกันครับชื่อมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกในtop3,000ของโลกและtop100ของเอเชียในปี50
ลำดับ ลำดับโลก ลำดับเอเชีย ชื่อมหาวิทยาลัย
1 505 21 CHULALONGKORN UNIVERSITY(จุฬา)
2 577 30 KASETSART UNIVERSITY(เกษตร)
3 721 45 ASIAN INSTITUTE OF TECHNOLOGY THAILAND(เทคโนโลยีแห่งเอเชีย เอไอที)
4 861 60 CHIANG MAI UNIVERSITY(เชียงใหม่)
5 894 68 THAMMASAT UNIVERSITY(ธรรมศาสตร์)
6 896 69 PRINCE OF SONGKLA UNIVERSITY(สงขลานครินทร์)
7 909 70 MAHIDOL UNIVERSITY(มหิดล)
8 1009 84 KHON KAEN UNIVERSITY(ขอนแก่น)
9 1195 - ASSUMPTION UNIVERSITY OF THAILAND(เอแบค)
10 1419 - KING MONGKUT'S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY(พระจอมเกล้าธนบุรี)
11 1735 - SURANAREE UNIVERSITY OF TECHNOLOGY(สุรนารี)
12 1801 - RAMKHAMHAENG UNIVERSITY(รามคำแหง)
13 1811 - KING MONGKUT'S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY NORTH BANGKOK(พระจอมเกล้าพระนครเหนือ)
14 1890 - NARESUAN UNIVERSITY(นเรศวร)
15 2068 - UBONRATCHATHANI UNIVERSITY(อุบลราชธานี)
16 2109 - BANGKOK UNIVERSITY(กรุงเทพ)
17 2125 - SUKHOTHAI THAMMATHIRAT OPEN UNIVERSITY(สุโขทัย)
18 2180 - MAHASARAKHAM UNIVERSITY(มหาสารคาม)
19 2181 - BURAPHA UNIVERSITY(บูรพา)
20 2196 - SILPAKORN UNIVERSITY(ศิลปากร)
21 2204 - SRINAKHARINWIROT UNIVERSITY(มศว)
22 2374 - SDUSUAN DUSIT RAJABHAT UNIVERSITY(ราชภัฎสวนดุสิต)
23 2602 - WALAILAK UNIVERSITY(วลัยลักษณ์)
24 2635 - RANGSIT UNIVERSITY(รังสิต)
25 2922 - MAHANAKORN UNIVERSITY OF TECHNOLOGY(มหานคร)

ปริศนาธรรม..มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ความหมายบางอย่าง ที่คนไทยได้สัมผัส แต่ไม่เคยรู้เพิ่งรู้เหมือนกัน.....
เอ้าอ่านๆ กันซะจะได้ปลงๆ ชีวิตก็เป็นเช่นชะนี้เอง
ความจริงแล้วปริศนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องงานศพนั้นมีอยู่หลายข้อซึ่งก็สงสัยอยู่เหมือนกันตั้งแต่เด็กมาแล้วแต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยเหมือนกับว่าเขาให้ทำก็ทำกันไป โง่อยู่ตั้งนานพอได้มาอ่านหนังสือธรรมลีลาของธรรมสภาแล้วก็ตาสว่างขึ้นมีอีกหลายข้อดังนี้
1. มัดตราสังข์สามเปราะ
มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา
มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติติดอยู่
สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
2. เคาะโลงรับศีล ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีลแต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอนเมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
3. สวดอภิธรรม มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่องจึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวดเพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวันดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผลควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวดให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้
4. บวชหน้าไฟ มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุดมนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัยไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
5. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพเพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า
6. การเวียนซ้าย 3 รอบ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย
7. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพานต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม
8. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

Place de la Concorde


La place de la Concorde est située au pied de l'avenue des Champs-Élysées dans le 8e arrondissement à Paris, en France. Il s'agit de la deuxième plus vaste place de France (après la place des Quinconces à Bordeaux).

Histoire
Le projet de Gabriel pour la place Louis XV
La Ville de Paris, en la personne de ses échevins et de son prévôt des marchands, décide, en 1748, d'ériger une statue équestre de Louis XV pour fêter le rétablissement du roi après la maladie dont il a été atteint à Metz. Un concours est lancé pour trouver le meilleur emplacement, concours auquel dix-neuf architectes participent, parmi lesquels Boffrand et Soufflot. L'un d'eux, Ange-Jacques Gabriel, propose de retenir une simple esplanade de terre battue, sans fonction, sans dessin, qui se situe au bout du jardin des Tuileries, et qu'on appelle « esplanade du Pont-Tournant », en référence à un pont de bois qui enjambe alors le fossé bordant la terrasse des Tuileries. Bien qu'excentré, l'endroit peut servir à l'urbanisation des nouveaux quartiers qui tendent à se construire vers l'ouest de la capitale, dans le faubourg Saint-Honoré.
Le Roi est propriétaire de l'essentiel de ces terrains, ce qui permet de limiter les expropriations nécessaires. Avant même que la décision ait été officiellement prise, des négociations ont été engagées avec les héritiers de John Law, propriétaires de terrains qui empiétent sur l'emplacement nécessaire à la création, à cet endroit, d'une place royale, inscrite dans le vaste réseau de places royales qui vont, à Rennes, Rouen, Bordeaux, Dijon, Nantes ou Montpellier, théâtraliser la représentation équestre de Louis XV. Espace de parade pour la statue, ces places se développent selon un principe qui va rester, à Paris, très ouvert, parce qu'elle s'inscrit dans une zone encore vierge d'urbanisation. Valorisée par les façades dessinées par Gabriel, la place Louis-XV devient un intermède architectural entre les frondaisons des Tuileries et l'échappée verte des Champs-Elysées.
En 1753, un concours est ouvert pour l'aménagement de l'esplanade, réservé aux membres de l'Académie royale d'architecture. Gabriel, directeur de l'Académie en sa qualité de Premier architecte du Roi, est chargé d'établir un projet empruntant les meilleures idées émises par les concurrents. Son projet est accepté en 1755. L'accord entre la Ville de Paris, les représentants du Roi et les héritiers de Law est signé en 1758. En échange des terrains qu'ils cèdent, les héritiers recevront le bâtiment situé au nord-ouest de la place ainsi que les terrains à construire de part et d'autre de la future rue Royale. Ils consentent à payer la construction des façades de tous les bâtiments dont ils auront la propriété et acceptent la servitude de galeries publiques sur la place.

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550

Passion Fruit.

Passiflora edulis or passion fruit is cultivated commercially for its fruit in northwestern South America, India, the Caribbean, Brazil, southern Florida, Hawaii, Australia, East Africa, Israel and South Africa (where it is known as a grenadilla or granadilla). The passion fruit is round to oval, yellow or dark purple at maturity, with a soft to firm, juicy interior filled with numerous seeds. The fruit can be grown to eat or for its juice, which is often added to other fruit juices to enhance aroma.
The two types of passion fruit have greatly different exterior appearances. The bright yellow variety of passion fruit, which is also known as the Golden Passionfruit, can grow up to the size of a grapefruit, has a smooth, glossy, light and airy rind, and has been used as a rootstock for the purple passionfruit in Australia.[1] The dark purple passion fruit (for example, in Kenya) is smaller than a lemon, with a dry, wrinkled rind at maturity.
The purple varieties of the fruit reportedly have traces of cyanogenic glycosides in the skin, and hence are mildly poisonous. However, the thick, hard skin is hardly edible, and if boiled (to make jam), the cyanide molecules are destroyed at high temperatures.

Names
On the island of Puerto Rico, the fruit is called parcha.
In Panama, it is called maracuyá.
In Venezuela, it is called parchita.
In Colombia, it is known as maracuyá.
In Ecuador, it is maracuyá.
In the Dominican Republic, it is called Chinola.
In Malaysia and Indonesia, it is also known as markisa and the yellow variety is called konyal in Sundanese language.
In Hawaii, it is called lilikoʻi in Hawaiian or lilikoi in English, although "passion fruit" is widely recognized.
In South Africa the purple variety is called a granadilla whereas the golden/yellow variety is called guavadilla.[2]
In Brazil and Portugal the fruit is known as maracujá.
In Jamaica it is called sweet cup.
In Nicaragua it is known as calala, a sweet-tasting juice is made when the fruit is cut in half and boiled in water.[3]
The distinctive flower of the passion fruit plant is called Passion flower or Passionflower, and is noted for its unusual visual characteristics. The leaves and roots of the plant have medicinal uses and are also called Passion flower.
Early European explorers gave the plant its common name because the flower's complex structure and pattern reminded them of symbols associated with the passion of Christ. It was said that the flower contained the lashes received by Christ, the crown of thorns, the column, the five wounds and the three nails.[4]

Uses
In Australia, passion fruit is the most common topping for the pavlova (a meringue cake) and the vanilla slice. It is also used to flavour soft drinks such as Passiona.
In Puerto Rico, it is widely believed to lower blood pressure.
In Brazil passion fruit mousse is a common dessert, and passion fruit seeds are routinely used to decorate the tops of certain cakes. Passion fruit juice is also very common.
In the Dominican Republic it is commonly used as an ingredient in a fruit drink containing strained passionfruit juice, sugar and water. It is also eaten fresh and used to flavor things from hard candies to popsicles.
In Indonesia it is eaten straight as a fruit. Nevertheless, it is common to strain the passionfruit for its juice and cook it with sugar to make some sort of thick syrup. It is then mixed with water and ice to be drunk.
In Hawaii it is normally eaten raw. Lilikoi flavored syrup is a popular topping for shave ice. Ice cream and mochi are also flavored with lilikoi, as well as many other desserts. Lilikoi fruits are not widely available in stores, so most of the fruit eaten comes from backyard gardens or wild groves.

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550

René Descartes


René Descartes (Descartes en Touraine, France, 31 mars 1596 - Stockholm, Suède, 11 février 1650) est un mathématicien, physicien et philosophe français, considéré comme l'un des fondateurs de la philosophie moderne.
Sa méthode, exposée à partir de 1637 dans le Discours de la méthode, et développée par la suite, montre une rupture par rapport à la scolastique, enseignée jusqu'alors : la réflexion cartésienne est rationaliste. En usant de la raison seule dans l'étude des phénomènes, fondant une nouvelle métaphysique radicalement différente de l'ancienne, Descartes ouvre notamment la voie à Malebranche, Spinoza, et plus lointainement aux religions naturelles des Lumières (déisme et théisme).
Descartes, dont le projet philosophique s'inscrit en réaction au procès de Galilée (1633), eut une influence considérable sur la pensée scientifique, surtout en France. L'impact de cette pensée fut grand car elle toucha à des questions théologiques. On ne peut pourtant attribuer à Descartes l'entière paternité de la philosophie moderne, puisqu'il jugeait qu'il serait nuisible de faire usage de sa philosophie dans le domaine politique.

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2550

เครียดมากมายอ่ะ

ตอนที่อาจารย์เกรียงบอกตอนเช้า
ยังคุยกับแอมอยู่เลยว่าจะกินอะไรกันดี
พอเข้าไปในห้อง ก็เข้าเรียนเลย
ยังบอกเพื่อนด้วยว่าอาจารย์จะเลี้ยงข้าว
แต่ตัวเองกลับลืมเสียเอง
ถ้าอาจารย์ไม่สนใจ ไม่มองพวกหนูต่อไป
แล้วพวกหนูจะทำยังงัยล่ะคะ
อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์เปิดเจอบล็อกหนู
หนูอยากจะบอกว่า"หนูขอโทษนะคะ"
หนูอยากเป็นหนึ่งในศิษย์ที่อาจารย์สนใจ แบบที่พวกพี่ๆได้เป็นกัน
อาจารย์ให้โอกาสหนูด้วยนะคะ

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2550

ทายนิสัยจากการรับโทรศัพท์

รับโดยบอกชื่อตัวเอง
คนที่รับโทรศัพท์ โดยบอกชื่อของตัวเองเป็นอย่างแรกแทนที่จะพูดทักทายว่าสวัสดี หรือฮัลโหลเช่นที่คนทั่วไปชอบใช้กัน บ่งบอกว่าเป็นคนที่นิสัยที่ชอบความชัดเจนและตรงไปตรงมามาก ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องของเวลาอีกด้วย โดยจะไม่ยอมปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงการเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกฏเกณฑ์ใด ๆ เอาเสียเลย โดยเฉพาะสิ่งเก่า ๆ มักจะแสวงหาประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ให้กับตัวเองเสมอ
รับโดยพูดอะไรแผลง ๆ
คนที่เวลารับโทรศัพท์แล้วมักจะพูดอะไรที่แผลง ๆ คือแทนที่จะบอกว่าที่นี่เบอร์โทรนี้นะ กลับพูดไปว่าที่นี่ตลาดสด อะไรเช่นนี้เป็นต้น บ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นที่มองโลกในแง่ดีเอามาก ๆ และชอบหาความสนุกสนานให้กับชีวิตของตนในทุกครั้งที่มีโอกาสในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่มีบุคลิกอบอุ่นเป็นกันเอง กับคนง่ายไม่มีมาดหรือมีฟอร์มใด ๆ ทั้งสิ้น ชอบการเปิดเผยตัวเองกับทุกคนและยังเป็นคนใจกว้างสามารถยอมรับความคิดเห็นของคนได้ทุกเพศทุกวัย
รับโดยถามธุระทันที
คนที่เวลารับโทรศัพท์โดยไม่ยอมทักทายใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากถามถึงเหตุธุระที่คน ๆ นั้นโทรมาหา อุปนิสัยมักจะเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนอยู่สักหน่อย เมื่อจะลงกระทำอะไรสักอย่างก็จะพุ่งตรงไปสู่สิ่งนั้นๆ ให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยจะไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เลยนอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีบุคลิกเย็นชา มักไม่มีคนมาเข้าใกล้ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่คนใจแข็งอะไรเลยออกจะซื่อ ๆ และไม่รู้เรื่องมากกว่า ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ชอบมีคนมาเอาอกเอาใจอยู่เคียงข้าง
รับโดยการทักทายสั้น ๆ
คนที่รับโทรศัพท์โดยการใช้คำทักทายที่สั้น ๆ ง่าย ๆ เป็นที่สุดนั้น บอกถึงนิสัยที่เป็นคนมีน้ำใจ ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุก ๆ คน เห็นอกเห็นใจใครต่อใครไปหมด ปฏิเสธความช่วยเหลือใครไม่ค่อยเป็น เป็นที่พึ่งได้กับทุก ๆ คน นอกจากนี้ยังมีความเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอีกด้วย จะไม่นินทาว่าร้ายใครโดยเด็ดขาด และยังมีความอดทนในการกระทำที่แย่ ๆ ของคนอื่นได้อีกด้วย ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่ชอบความสนุกสนาน ชอบชีวิตที่รื่นเริง และชอบให้คนรักใคร่สามัคคีกัน
รับโดยถามว่ามีอะไรให้รับใช้
ส่วนคนที่รับโทรศัพท์ โดยหลังจากทักทายแล้วก็ถามไปว่ามีอะไรจะให้รับใช้ ทำนองเช่นนี้ บ่งบอกถึงนิสัยที่เป็นคนมองโลกในแง่ดีชอบชีวิตที่มีความสะดวกสบาย ใจกว้าง เปิดเผยและมีความไว้วางใจคนง่าย ทั้งยังเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือสงเคราะห์คนอื่น จะเป็นคนที่หวังดีต่อทุก ๆ คนโดยไม่เคยมองถึงความเลวร้ายของใคร แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่กระทบกระเทือนใจได้ง่าย หากความหวังดีที่ตนมีให้คน ๆ หนึ่งถูกมองข้ามไป หรือถูกแปรความหมายไปในทางผิดๆ
รับอย่างเป็นทางการ
คนที่เวลารับโทรศัพท์แล้ว พูดจาอย่างเป็นทางการมากโดยเริ่มจากบอกว่าที่นี่เบอร์โทรฯอะไร และชื่อของตัวเองแล้วถามกลับไปว่าใครโทรมา เช่นนี้เป็นต้น จะเป็นคนที่กาละเทศะระเบียบแบบแผนมาก และให้ความสนใจต่อคนใกล้ชิดมากจนเกินไป ชอบชีวิตในกรอบที่ตัวเองสร้างขึ้นมา และไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ได้นัก ทั้งยังเป็นคนที่ไม่ชอบการเสี่ยงภัยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะมีความอดทนหนักแน่นสูง ต่อชีวิตครอบครัวซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อตัวเองมาก รับโดยถามทุกข์สุข คนที่รับโทรศัพท์โดยการเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบของคนที่โทรมาหาตนนั้น จะมีนิสัยของคนที่อ่อนโยน ใจดี มีความละมุนละไมอยู่ในบุคลิก และมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุก ๆ คนโดยเท่าเทียมกัน จึงเป็นคนที่เข้ากับใคร ๆ ได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มองทุกอย่างบนโลกในแง่ที่ดีงามเสมอ เพราะเป็นคนที่จิตใจไม่เข้มแข็งต่อเรื่องที่โหดร้ายทารุณ รวมทั้งเกลียดการทะเลาะเบาะแว้งที่ด่าทอกันด้วยคำหยาบคาย จึงเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้เก่ง จะไม่แสดงความไม่ชอบใจของตนออกมาเลย
รับโดยใช้คำทักทายธรรมดา
คนที่รับโทรศัพท์โดยใช้คำทักทายธรรมดา ๆ ที่คนส่วนใหญ่ใช้กันเช่นสวัสดี หรือฮัลโลนั้น อุปนิสัยจะเป็นคนที่มีบุคลิกง่ายๆ ธรรมดา ๆ ไม่ชอบการโอ้อวดตนหรือทำตัวโดดเด่นใด ๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่ชอบการแสดงออกเท่าที่ควร และเป็นคนที่ทำอะไรช้า แต่ว่าก็จะได้ผลแน่นอน และสามารถไว้วางใจได้ นอกจากนี้เป็นคนที่มีความอดทนสูงต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะในเรื่องที่คนอื่นเห็นว่าเป็นสิ่งที่เบื่อหน่าย และชื่นชอบกับการได้อยู่ในแวดวงของคนที่ตนคุ้นเคยเป็นที่สุด

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2550

สำนวนเกี่ยวกับสัตว์ (ของจารย์เกรียงเค้า)ชอบเลยจิ๊กมา

- Il n'y a pas un chat. = [ไม่มีใครอยู่สักคน]
- Il fait un temps de chien. = [อากาศไม่ดีเลย]
- Ces deux frères s'entendent comme chien et chat. = [พี่น้องสองคนนี้เข้ากันไม่ค่อยได้ (ทะเลาะกันยังกับหมากับแมว)]
- Il est doux comme un agneau. = [เขาอ่อนโยนและน่ารักมาก (ยังกับลูกแกะ)]
- Il a un caractère de cochon. = [เขานิสัยแย่มาก (ยังกับหมู)]
- Dans l'autobus à Bangkok, nous sommes serrés comme des sardines en boîte. = [ผู้คนเบียดเสียดกันมาก (ราวกับปลาซาร์ดีนในกระป๋อง)]
- Il est libre comme un oiseau. = [เขาเป็นอิสระ (ราวกับนก)]
- Une hirondelle ne fait pas le printemps. = [(เห็นนกนางแอ่นเพียงตัวเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ) เห็นเพียงตัวอย่างเดียว จะเหมาเอาว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เลยไม่ได้ คือ อย่าด่วนสรุป]
- Il est muet comme une carpe. = [เป็นคนเงียบมาก (เหมือนปลาคาร์ป)]
- Philippe est heureux comme un poisson dans l'eau. = [ฟิลิปป์มีความสุขมาก (เหมือนปลาได้นํ้า)]
- Cet enfant a une mémoire d'éléphant. = [เด็กคนนี้มีความจำดีเป็นเลิศ (เปรียบเทียบกับช้างที่ฉลาดและมีความจำที่ดี)]
- Elle a un appétit d'oiseau. = [หล่อนกินน้อยมาก (เหมือนนกที่กินได้น้อยในแต่ละครั้ง)]
- Cette femme a une langue de vipère. = [ผู้หญิงคนนี้ปากร้าย ชอบพูดให้ร้ายคนอื่น (เหมือนอสรพิษ)]
- Cette fille a une taille de guêpe. = [หญิงสาวคนนี้เอวบางร่างน้อย (เอวกิ่วเหมือนตัวต่อ)]
- Cet enfant est têtu comme un âne. = [เด็กคนนี้ดื้อรั้น (ยังกับลา)]
- Quand le chat n'est pas là, les souris dansent. = [เมื่อผู้เหนือกว่าไม่อยู่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะรู้สึกสนุกสนาน และมีควาสุข (แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง)]
- Il est malin comme un singe. = [เขาฉลาดแกมโกงมาก (เหมือนลิงที่เจ้าเล่ห์)]
- Il est rusé comme un renard. = [เขาฉลาดและเจา้เล่ห์มาก (เหมือนสุนัขจิ้งจอก)]
- Il est fort comme un boeuf. = [เขาแข็งแรงมาก (ราวกับวัว)]
- Il est laid comme un pou. = [เขาขี้เหร่มาก (ราวกับตัวหมัด)]
- Il est myope comme une taupe. = [เขาสายตาสั้นมาก (เหมือนตัวตุ่น)]
- Elle est gaie comme un pinson. = [หล่อนร่าเริงมากและอารมณ์ดีเสมอ (เหมือนนกชนิดหนึ่ง)]
- Je suis malade comme une bête. = [ฉันไม่สบายมาก (เหมือนสัตว์)]
- Elle est bête comme une oie. = [หล่อนโง่มาก (ราวกับห่าน)]
- J'ai une faim de loup. = [ฉันหิวมาก (ราวกับหมาป่า)]
- C'est une tête de cochon. = [เขาดื้อรั้นมาก (เหมือนหมู)]
- C'est un troupeau de moutons. = [เป็นคนที่เชื่อฟังอะไรง่ายๆโดยไม่คิด (เหมือนฝูงแกะ)]
- Il a une fièvre de cheval. = [เขามีไข้สูงมาก (เหมือนไข้ของม้า)]
- Il fait un froid de canard. = [อากาศหนาวมาก (ปรกติเป็ดจะเป็นสัตว์ที่ไม่รู้สึกหนาวง่ายๆ แต่ถ้าเป็ดรู้สึกหนาวแสดงว่าอากาศหนาวมาก)]
- Il a versé des larmes de crocodile. = [(เขาหลั่งนํ้าตาจระเข้) เขาแกล้งทำเป็นเสียใจ ถือได้ว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก]

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2550

France


La France, officiellement la République française, est un pays constitué d'une Métropole[7] et d'un Outre-mer[8]. La France est l'État de l'Union européenne dont le territoire européen est le plus étendu. Ce territoire, situé en Europe occidentale, est bordé par l'océan Atlantique à l'ouest, par la Manche (qui la sépare du Royaume-Uni) et la mer du Nord au nord, par la Belgique, le Luxembourg, l'Allemagne, la Suisse et l'Italie à l'est, et par la mer Méditerranée, l'Andorre, Monaco et l'Espagne au sud. Par les DOM-TOM, la France est également bordée par les Pays-Bas, le Brésil, le Suriname, l'Australie, mais aussi par l'océan Pacifique, l'océan Indien, la mer des Caraïbes, etc.
La France est, parmi tous les grands États européens, le plus anciennement constitué, autour d’un domaine royal initialement centré sur l’Île-de-France, sa capitale étant Paris. Membre du Conseil de l’Europe, c’est l’un des pays fondateurs de l’Union européenne, de la zone euro et de l’espace Schengen. Elle est l’un des cinq membres permanents du Conseil de sécurité des Nations unies et fait partie de l’Union latine, de l’Organisation de coopération et de développement économiques (OCDE), de la Francophonie et du Groupe des huit (G8).
Les valeurs qu’elle défend et auxquelles elle est très attachée se fondent sur la démocratie et les droits de l’homme et du citoyen de 1789, dont elle est la patrie d'origine.
Militairement, la France est membre de l’Organisation du traité de l'Atlantique Nord (OTAN) – elle s’est retirée en 1966 de l’organisation militaire intégrée pour y revenir partiellement en 2002 – et dispose de la dissuasion nucléaire.
Son économie est de type capitaliste avec une intervention étatique non négligeable depuis la fin de la Seconde Guerre mondiale. Néanmoins, depuis une trentaine d’années, des réformes successives ont entraîné un désengagement progressif de l’État de plusieurs entreprises publiques.
Au cours du « Grand Siècle », la France a été façonnée par les arts et la philosophie. Berceau des « Lumières », elle a influencé les révolutions américaines[9], puis la Révolution française a insufflé l'élan et l'exemple démocratique dans le monde entier, développant des valeurs de liberté, d'égalité, de fraternité et de laïcité. La culture française rayonne au-delà du cadre européen : du fait des explorations de la Renaissance, des XVIIIe et XIXe siècles, la France a diffusé sa culture et sa langue à de nombreux peuples, au Canada, en Afrique, mais aussi dans quelques régions du Moyen Orient, d'Asie et du Pacifique. Sa gastronomie est de réputation mondiale. De nos jours la France subit de plus en plus l´influence culturelle des États-Unis.
Le français est la langue officielle de la République, mais on y compte aussi 77 langues régionales[10].

Taj Mahal

Le Taj Mahal (en hindi ताज महल) est situé à Âgrâ, au bord de la rivière Yamunâ dans l'État de l'Uttar Pradesh en Inde. C'est un mausolée de marbre blanc construit par l'empereur moghol Shâh Jahân en mémoire de son épouse Arjumand Bânu Begam, aussi connue sous le nom de Mumtaz Mahal, qui signifie en persan « la lumière du palais ». Elle meurt le 17 juin 1631 en donnant naissance à leur quatorzième enfant alors qu'elle allait à la campagne. Elle trouve une première sépulture sur place dans le jardin Zainabad à Burhampur.
La construction commence en 1632. Cependant, il demeure une polémique sur la date exacte de la fin des travaux. Le chroniqueur officiel de Shah Jahan, Abdul Hamid Lahori indique que le Taj Mahal est achevé fin 1643 ou début 1644. Mais à l'entrée principale une inscription indique que la construction s'est achevée en 1648. L'État de l'Uttar Pradesh, qui a célébré officiellement le 350e anniversaire de l'édifice en 2004, affirme quant à lui que les travaux se sont achevés en 1654. Parmi les 20'000 personnes qui ont travaillé sur le chantier, on trouve des maîtres artisans venant d'Europe et d'Asie centrale. L'architecte principal fut Usad Ahmad de Lahore. Le 7 juillet 2007, le célèbre monument a été désigné comme l'une des sept nouvelles merveilles du monde par un organisme non officiel et à caractère commercial (NewOpenWorld Foundation).