วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

โครงสร้างของ V.arriver

arriver à + inf. (= réussir à, finir par) = สามารถ, ประสบความสำเร็จ
- Je n'arrive pas à faire des économies.
en arriver à + inf. (= aller jusqu'à, en venir à) = คิดเลยเถิดไปถึง, ย้อนคิดไปถึง
- J'en arrive à me demander s'il a vraiment du coeur.
Il arrive à qn de + inf. (= avoir lieu, se produire) = เกิดขึ้น
- Il lui arrive souvent de pleurer quand il est seul.
Il arrive que + sub. = เกิดขึ้น
- Il arrive qu'il fasse chaud en novembre, mais c'est assez rare.

++
http://www.rn.ac.th/kk/verbe1.html

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

คำที่คนไทยมักเขียนผิด

1. สำอางแปลว่า เครื่องแป้งหอม งามสะอาด ที่ทำให้สะอาดมักเขียนผิดเป็นคำว่า "สำอางค์" ...ควายการันต์(ค์) มาจากไหน?
2. พากย์แปลว่า คำพูด คำกล่าวเรื่องราว ภาษามักเขียนผิดเป็นคำว่า "พากษ์" ที่เขียนกันผิดประจำนี่ คงติดภาพมาจากคำว่า วิพากษ์(วิจารณ์)
3. เท่แปลว่า เอียงน้อยๆ โก้เก๋มักเขียนผิดเป็นคำว่า "เท่ห์" ...ติดมาจากคำว่า "สนเท่ห์" รึไงนะ?
4.โล่แปลว่า เครื่องปิดป้องศัตราวุธ ชื่อแพรเส้นไหมโปร่งมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โล่ห์" สงสัยอยู่ในกรณีเดียวกับคำว่า "เท่"
5. ผูกพันแปลว่า ติดพัน เอาใจใส่ รักใคร่มักเขียนผิดเป็นคำว่า "ผูกพันธ์" ไม่ใช่คำว่า "สัมพันธ์" นะเว้ย
6. ลายเซ็นแปลว่า ลายมือชื่อมักเขียนผิดเป็นคำว่า "ลายเซ็นต์" ติดมาจาก "เปอร์เซ็นต์" รึเปล่า?
7. อีเมลแปลว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์มักเขียนผิดเป็นคำว่า ''อีเมล์" คำนี้ผมก็เขียนผิดบ่อยๆ -*- มันติดอ่ะ
8. แก๊งแปลว่า กลุ่มคนที่ตั้งเป็นพวก(ในทางไม่ดี)มักเขียนผิดเป็นคำว่า "แก๊งค์" หรือไม่ก็ "แกงค์" เอ่อ...มันมาจากภาษาอังกฤษคำว่า gang นะ ควายการันต์มาจากไหน?
9. อนุญาตแปลว่า ยินยอม ยอมให้ ตกลงมักเขียนผิดเป็นคำว่า "อนุญาต" ผิดกันเยอะจริงๆ สับสนกับคำว่า "ญาติ" รึไง?
10. สังเกตแปลว่า กำหนดไว้ หมายไว้ ดูอย่างถ้วนถี่มักเขียนผิดเป็นคำว่า "สังเกตุ" นี่ก็ผิดเยอะพอๆกับคำว่า "อนุญาต" คงติดมาจากคำว่า "สาเหตุ" ล่ะมั้ง?
11. ออฟฟิศแปลว่า สำนักงาน ที่ทำการมักเขียนผิดเป็นคำว่า "ออฟฟิส" ไม่ก็ "ออฟฟิต" คำนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "office" แต่พอมาเป็นภาษาไทยอุตส่าห์ใช้ตัวอักษร "ศ" ให้เท่ๆแล้วเชียว แต่ทำไมกลับสู่สามัญเป็น "ส" ล่ะ หรือไม่ก็เอาคำว่า "ฟิตเนส" มาปนมั่วไปหมด
12. อุตส่าห์แปลว่า บากบั่น ขยัน อดทนมักเขียนผิดเป็นคำว่า "อุดส่า" คำนี้พบไม่บ่อยมากนัก แต่บางคนสะกดด้วย ต เต่า ถูกแล้วแต่ลืมใส่ บการันต์(ห์)
13. โคตรแปลว่า วงศ์สกุล เผ่าพันธุ์ ต้นตระกูลมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โครต" คำยอดฮิตของวัยรุ่น ไม่รู้เพราะสับสนกับคำว่า "เปรต" หรือเพราะในเกมออนไลน์บางเกมมันเซ็นเซอร์คำนี้ก็ไม่รู้ เลยดัดแปลงคำซะเลยจะได้พิมพ์ได้ แล้วก็ติดตามาเป็น "โครต" ในปัจจุบัน
14. ค่ะแปลว่า คำรับที่ผู้หญิงใช้มักเขียนผิดเป็นคำว่า "คะ" คำนี้ไม่ได้เขียนผิดอะไรหรอก แต่ใช้เสียงสูงเสียงต่ำผิด ถ้าจะพูดให้เสียงยาวก็เป็น "คะ" ใช้ต่อท้ายประโยคคำถาม แต่บางทีก็ใช้ "ค่ะ" ยัดลงไปเลย
15. เว็บไซต์แปลว่า (ไม่รู้อ่ะ แต่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "web" แปลว่า ใยแมงมุม ตาข่าย และ "site" แปลว่า กำหนดสถานที่ตั้ง ตั้งอยู่)มักเขียนผิดเป็นคำว่า "เวปไซด์" คำว่า "เวป" อาจติดมาจาก "WAP" ซึ่งแปลว่าอะไรผมก็ไม่รู้ -*- แต่คำว่า "ไซด์" ที่เขียนผิดอาจมาจากคำว่า "side" ที่แปลว่า ด้านข้าง เห็นด้วย (เกี่ยวอะไรกัน?)
16.โอกาสแปลว่า ช่อง จังหวะ เวลาที่เหมาะมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โอกาศ" สงสัยติดมาจากคำว่า "อากาศ"
17.เกมแปลว่า การแข่งขัน การละเล่นเพื่อนความสนุก ลักษณะนามเรียกการแข่งขันจบลงคราวหนึ่งๆมักเขียนผิดเป็นคำว่า "เกมส์" อันนี้เราไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าจะให้มีความหมายในภาษาไทยต้องใช้ "เกม" เพราะมันมาจากคำว่า "game" ในภาษาอังกฤษ
18.ไหมแปลว่า ชื่อแมลงชนิดหนึ่งมีใยใช้ทอผ้า เป็นคำถามมักเขียนผิดเป็นคำว่า "มั้ย" ที่เปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะเพื่อให้เสียงสูงขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า ไม้ มันจะกลายเป็นอีกคำ ถ้าใช้ ไม๊ นี่อ่านไม่ออกเลย -*-

** ลองดูสิว่า เพื่อนๆเขียนผิดกันทั้งหมดกี่คำ **

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

คำศัพท์เกี่ยวกับศีรษะและใบหน้า : La tête et le visage

bouche [n.f.] บูช(เชอ) ปาก
barbe [n.f.] บาร์บ(เบอ) เครา
cheveu [n.m.] / cheveux [n.m.pl.] เชอ-เวอ ผม, เส้นผม
cil [n.m.] ซิล ขนตา
dent [n.f.] ดอง ฟัน
front [n.m.] ฟรง หน้าผาก
joue [n.f.] ชูู แก้ม
langue [n.f.] ลอง(เกอ) ลิ้น
lèvre [n.f.] แลฟ(เวรอ) ริมฝีปาก
menton [n.m.] มอง-ตง คาง
moustache [n.f.] มุส-ตาช(เชอ) หนวด
nez [n.m.] เน่ จมูก
oeil [n.m.] yeux [n.m.pl.] เอย อิ-เยอ ตา, ดวงตา
oreille [n.f.] ออ-เรย(เยอ) หู
sourcil [n.m.] ซูร์-ซิล คิ้ว

ที่มา : http://www.rn.ac.th/kk/corps.htm

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551

ทายซิ..เขาคือใคร?????

ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอน อายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคน นั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคน นั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคน นั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคน นั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้ง ที่สอง

ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผู้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะ หมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่ง ตำนาน

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น... ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความ สามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคน นั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

ชายคน หนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคน นั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคย สอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับ บริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า "เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงาน เสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีนมอนโร

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น... ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคน นั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับ หนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้าน เหรียญ

แล้วเราล่ะ....โตขึ้นจะได้แบบนี้บ้างมั๊ยน้า

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551

23 มีนาคม เทศกาลอีสเตอร์



Pâques est une fête mobile qui se fête entre le 22 mars et le 25 avril. C'est une fête religieuse qui commémore le passage de la Mer Rouge pour la religion juive et la résurrection de Jésus pour la religion chrétienneC'est aussi une fête païenne qui annonce l'éveil du printemps.

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551

คนไทยฉลาดกว่าฝรั่งเนอะ

+++มีคนไทยอยู่ 1 คน พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ
+++ได้เข้าไปทำงานในบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นของต่างชาติ
+++ในทุกวันเขาก็ทำงาน เหมือนเดิมทุกวัน
แต่!!!!!!!!......มีอยู่มาวันหนึ่ง
เขาได้เข้าห้องน้ำในบริษัทแล้วไปเจอ คนฝรั่ง2 คน อยู่ในห้องน้ำ
ซึ่งฝรั่งทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนกันซึ่งกำลังล้างมือ
หลังจาก ฉี่เสร็จ และ พอฝรั่ง 2 คนนั้นเห็นคนไทย
ทั้ง2คน จึงคุยข่มคนไทย ว่า....
ฝรั่งคนที่ 1 "นายเรียนจบที่ไหนว่ะ"
ฝรั่งคนที่ 2 "เราเรียนจบที่ OXFORD จากประเทศ อังกฤษ"
( ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่ 2 ก็ควักน้ำล้างมือมาถึงข้อศอก)ฝรั่งคนที่ 1 เห็นก็งงแล้วถามว่า "ทำไมต้องล้างมือถึงข้อศอกด้วย"
ฝรั่งคนที่ 2 ตอบว่า " ที่อังกฤษเขาสอนให้ล้างอย่างนี้ เพราะ ตอนฉี่ฉี่อาจกระเด็นมาถึงแขนก็ได้ ต้องระวังไว้ก่อน"
(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่1 ก็ควักน้ำมาล้างมือ เฉพาะ ที่มือ แล้วหาไม้มาแคะขี้เล็บออก)
ฝรั่งคนที่ 2 เห็นก็ถามว่า " นายจบจากที่ไหน"
ฝรั่งคนที่ 1 ตอบว่า "เราจบจาก อเมริกา ที่ STAMFORD ที่นั่น เขาสอนให้ล้างมือเฉพาะที่สกปรก แล้วก็แคะขี้เล็บออก เพื่อป้อกกันเชื้อโรค"
ฝรั่ง 2 คนเห็นคนไทยฉี่อยู่ พอคนไทยฉี่เสร็จ ก็เดินออกจากห้องน้ำเลย
ฝรั่งทั้น 2 คนเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่ล้างมือ
เลยวิ่งไปถามคนไทย ว่า "นายจบจากไหน ทำไมถึงไม่ล้างมือ"
คนไทยตอบว่า "จบราม รามไม่สอนให้ฉี่รดมือตัวเอง
55+
ฮาดี เลยเอามาให้อ่าน

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

วิธีการวิเคราะห์โจทย์ reading ของ O-NET และ A-NET

หลายคนอาจจะคิดว่าข้อสอบ O-NET และ A-NET ภาษาอังกฤษในส่วนของ Reading นั้นค่อนข้างยาก จนถึง ยากโคตร เพราะ text ยาว แถมศัพท์ก็ยาก ทำไงดีจะอ่านทันมั้ยเนี่ย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคในการทำโจทย์ของเราเป็นอย่างมาก
วิธีเตรียมตัวคือ REAET (Read Everywhere And Every Time) หรือ อ่านทุกที่ทุกเวลา หมายถึง ว่าง ๆ ก็เอาบทความภาษาอังกฤษมานั่งอ่านเล่น ๆ สักครึ่งชม. ทุกวัน ฝึกไปบ่อย ๆ สมองของเราก็จะสร้างเครือข่ายเซลล์ประสาททางด้านภาษา เราก็จะคล่อง แล้วก็จะชินเวลาทำข้อสอบ ของอย่างงี้ต้องฝึกกันเอาเองนะ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ที่กำลังจะขึ้น ม.6 ควรจะฝึกซะตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะสบายเอง
สำหรับกระทู้จะมาสาธิตวิธีการวิเคราะห์โจทย์ ซึ่งได้เรียบเรียงเอง ไม่ได้ไปคัดลอกวิธีมาจากที่ไหนนะคับ
[A] ในกรณีที่โจทย์ถามหา "ใจความสำคัญ" หรือ main idea มันมักจะ
1) อยู่ที่ paragraph แรก โดยเฉพาะ ประโยคแรก หรืออาจจะประโยคสุดท้ายของ paragraph สุดท้าย หรือพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
2) มักจะอยู่หลังคำเชื่อมที่แปลในทำนองว่า ดังนั้น จึง เพื่อ แต่ อย่างไรก็ตาม ใน paragraph แรก หรือสุดท้าย
ดังนั้นพอมาเจอโจทย์ reading ก็ให้รีบอ่าน paragraph แรกกะสุดท้ายเลยนะคับ จะได้รู้คร่าว ๆ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และก็ควรศึกษาเรื่องคำเชื่อม (conjunction) มาให้แน่น เพราะจะช่วยให้ทำโจทย์คล่อง เดาศัพท์ได้ บวกกับได้คะแนนมาเหนาะ ๆ อย่างน้อย 1 คะแนน ต่อ 1 เนื้อเรื่องคับ
[B] ถ้าโจทย์ให้เราสรุป (ในโจทย์มักใช้คำว่า infer, conclude, summarize ซึ่งแปลว่า สรุป หรือหาข้อยุติ)
1) ให้อ่านทั้งเรื่องอย่างละเอียด แต่ต้องรักษาความเร็วนะคับ
2) ใช้ข้อมูลที่ได้จากเนื้อเรื่อง อนุมานหรือ สรุป ออกมา โดยที่ ข้อความที่เราสรุป จะต้องสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง ถ้าหากไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง หรือ ไม่สัมพันธ์กะเนื้อเรื่อง ถือว่าผิดทันทีนะคับ ต้องระวัง
[C] ถ้าโจทย์ถาม tone, emotion, feeling หมายถึง น้ำเสียง อารมณ์ ความรู้สึก
1) ให้อ่านทั้งเรื่องเช่นกัน อย่างละเอียด
2) ให้สังเกตการใช้คำว่า
2.1) ใช้คำเรียบ เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ไม่แสดงความชอบหรือไม่ชอบ ก็เลือก neutral = เป็นกลาง
2.2) ใช้คำเข้าชมชอบ หรือ เห็นดีด้วยกับสิ่ง ๆ หนึ่ง ก็ให้เลือก satisfactory หรือ pleased หรือที่แปลในทำนองเดียวกันคับ
2.3) ใช้คำต่อว่า หรือ รุนแรง ไม่เห็นด้วยกับสิ่ง ๆ หนึ่ง โต้แย้ง ก็ให้เลือก argumentative = โต้แย้ง

ขอบคุณ : http://blog.eduzones.com/yimyim/3420