วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

คุณหล่ะ ทำมาม่า สูตรไหน [อยากเทพมาม่าโปรดอ่าน...]

แชมป์เยนมาม่า สูตรดังเขย่าโลก, ท่านก็สามารถทำได้
ก่อนอื่นก็ให้เครดิตก่อน ของคุณ ภูภู่ภู้ภู๊ภู๋ ที่ PANTIP ค่ะ

เชิญชมสูตรอร่อยสูตรที่ 1 ] ไข่แดงพิโรธ !! ( 7 - 10 บาท )
อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าหมูสับ 1 ซอง , ไข่ 1 ฟอง , พริกป่น , น้ำปลา
1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ปริ่มมาม่า) ตอกไข่ลงไป
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 100c ระยะเวลา 3.50 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องปรุงที่แถมมา และน้ำปลา พริกป่นตามใจ
Reaction : " ไข่แดงพิโรธ !! คือการหลอมรวมอย่างลงตัวของโปรตีนและแป้ง ไข่ขาวเป็นก้อนนิ่ม ๆ เหมือนเจลลี่ ส่วนไข่แดงก็ละม้ายคล้ายปีโป้ รสชาดที่ได้ คือความธรรมดา ๆ ในรูปแบบของสูงสุดคืนสู่สามัญ... เรียบง่าย แต่ได้ใจ... "
คำเตือน : " ไม่ควรทำในช่วงหวัดนกระบาด... "

[ สูตรที่ 2 ] สามแม่ครัวร้อนรัก !! ( 15 - 20 บาท )
อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าต้มยำกุ้ง 1 ซอง , ปลากระป๋อง , มะนาว , น้ำปลา
1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ปริ่มมาม่า) เทปลากระป๋องลงไป 1.1. ปลากระป๋องไม่ควรเทหมด คัดเอาเฉพาะที่พอกิน 1.2. ไม่ควรเทน้ำปลากระป๋องลงไปหมด เพราะจะเลี่ยนจนทานไม่ลง
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 3.00 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องปรุงที่แถมมา น้ำปลา และมะนาว(เยอะหน่อยก็ดี)
Reaction : " สามแม่ครัวร้อนรัก !! คือสูตรลับเฉพาะของพวกที่มีวัตถุดิบเหลือ ประมาณว่าที่บ้านรับบริจาคข้าวสารอาหารแห้งมา แล้วอยากลองทำ ต้องกะแต่เพียงพอดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป มิเช่นนั้นจะไม่น่ากิน หากมากไปก็จะทำให้เลี่ยนเพราะน้ำมันในปลากระป๋อง นั่นทำให้มันแย่ ส่วนผสมของปลากระป๋องกับมาม่า นั่นคล้ายกับสามแม่ครัวกำลังสวิงกิ้ง คลุกเคล้าความเป็นต้มยำกุ้ง ( แต่ไม่มีตังค์ซื้อกุ้งมาใส่ ) เรียกได้ว่า...อร่อยร้อนแรง...แต่แฝงไว้ด้วยความสุข(ส่วนตัว) "
คำเตือน : " ปลากระป๋องใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้...แล้วแต่คนจะชอบนะ "

[ สูตรที่ 3 ] ยาจกพิโรธ !! ( 5 บาท )
อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าหมูสับ 1 ซอง , ซอสพริก ( แบบขวดหรือแบบแถม )
1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ปริ่มมาม่า)
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 2.30 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่อง และซอสพริกลงไป ตามลำดับความค่นแค้น
Reaction : " ยาจกพิโรธ !! คือสูตรง่าย ๆ ที่ทำให้คุณเสพซึ้งถึงความร้อนแรงได้ โดยเฉพาะเวลาคุณมีซอสพริกที่แถมมากับข้าวไข่เจียว หรือหอยทอด เหลืออยู่เต็มบ้าน ไม่รู้จะจัดการอย่างไร วิธีนี้ช่วยคุณได้อย่างมากแน่ ด้วยราคาที่ประหยัดสุด ๆ แถมเป็นการรีไซเคิลวัตถุดิบที่เหลือใช้.... จึงเรียกได้ว่าเป็นสูตรสำหรับคนยากจนผู้ตระหนี่อย่างแท้จริง... "
คำเตือน : " หากใส่หยาดน้ำตาแห่งความอาภัพลงไปด้วย จะอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ "

[ สูตรที่ 4 ] ไฮโซบ้านนอก !! ( 20 - 100 บาท )
อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าหมูสับ 1 ซอง , หมูยอ , แหนม , ปูอัด , ไส้กรอก , ผักนานาชนิด , มะนาว , น้ำปลา , ซีอิ๊วขาว , น้ำมันหอย
1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ท่วมมาม่า) 1.1. เทอาหารประเภทเนื้อลงไป รวยมากใส่มาก รวยน้อยใส่น้อย
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 3.00 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องปรุงที่แถมมา บวกผักนานาชนิด 3.1. เครื่องปรุงที่เหลือใส่ตามระดับความ "เค็ม"
Reaction : " ไฮโซบ้านนอก !! คือสูตรลับเฉพาะของคนในแวดวงคุณหญิงคุณชาย ที่มีเครื่องเพชรเต็มบ้าน แต่ยังคงความประหยัด อยากกินมาม่าแบบไฮโซ เพราะฉะนั้นส่วนประกอบจึงอลังการดาวล้านดวง มากกว่ามาม่าโลโซทั่วไป สารอาหารที่ครบครัน ช่วยเสริมสร้างบารมีแห่งความอวบเข้าไปในทรวดทรง เป็นไฮโซแต่แฝงไว้ด้วยความบ้านนอกอย่างทัดเทียม... " คำเตือน : " ด้วยราคาประมาณนี้...แนะนำให้ไปกินอาหารตามสั่ง ดูจะฉลาดกว่า "

[ สูตรที่ 5 ] บาร์เทนเดอร์รำลึก !! ( 5 บาท )
อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าต้มยำ 1 ซอง
1. แกะซองออก เอาเครื่องปรุงออกมา เอามือบีบให้เส้นละเอียด
2. เทเครื่องปรุงลงไปในซอง เริ่มจากน้ำมัน และพริกตาม
3. เขย่าอีกกี่ครั้ง ก็แล้วแต่ความพอใจ ( ยิ่งมากยิ่งดี )
Reaction : " บาเทนเดอร์รำลึก !! คืออารมณ์ของการย้อนกลับไปเป็นเด็กวัยขบเผาะ ลองนึกถึงตอนที่คุณไปเข้าค่ายสิ ไม่ว่าจะลูกเสือ เนตรนารี หรือ ร.ด.เป็นสูตรที่เรียกได้ว่า " สากลโลก " ไม่ว่าใครก็ต้องเคยลองกันมาแล้ว นอกจากจะได้อรรถรสในรสชาดแล้ว ยังได้ออกกำลังไปในตัวด้วย... ยิ่งเขย่ามากเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแรงเท่านั้น...ประโยชน์รอบด้านจริง ๆ ... และที่สำคัญมันสามารถนำไปเป็นกับแกล้มในวงสุราได้อีกด้วยนะเนี่ย...ยกเว้นก็แต่โรคกระเพาะจะถามนั่นแหละ... "คำเตือน : " ตอนกินควรกินด้วยกันหลาย ๆ คน...เพื่อเข้าสู่ Mode ระลึกชาติ "

[ สูตรที่ 6 ] มาม่า GMO !! ( 5 บาท )
อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าต้มยำ 1 ซอง , มะนาว , น้ำปลา , กุ้งแห้งผักชี , คื่นช่าย , หรืออะไรก็ตามที่เขาใส่ในข้าวต้มหมู... ข้าวสวย 1 ป๊าบ ( เอ่อ...มันคือช้อนใหญ่ ๆ นู๋เรียกไม่ถูก ^ ^" )
1. เทข้าวสวยลงไปในถ้วย เทมาม่าและน้ำตาม(ปริ่มมาม่า) พร้อมกุ้งแห้ง
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 3.00 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องที่แถมมาลงไป นอกนั้นใส่ตามความต้องการ
Reaction :" มาม่า GMO !! คือการดัดแปลงพันธุกรรมของมาม่า โดยนักโภชนาการผลที่ได้คือส่วนผสมของมาม่าและข้าวต้ม เป็นลูกครึ่งข้ามขีดทางสายพันธุ์ประมาณว่าได้อรรถรสในต้มยำของมาม่า และเมล็ดข้าวต้มที่ชอนไชผ่านลิ้น ส่วนผสมดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายแต่อย่างใด... และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพวกที่ชอบหุงข้าวเหลือนะค่ะ "
คำเตือน : " โปรดระวังกลุ่มกรีนพีช จะมาประท้วงที่หน้าบ้าน... "

เห็นว่าฮาดีเลยเอามาให้อ่านเน้อ

ขอบคุณ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1209542

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Aesop



Aesop (also spelled Æsop or Esop, from the Greek Αἴσωπος—Aisōpos) (620-560 BC), known only for the genre of fables ascribed to him, was by tradition a slave (δούλος) who was a contemporary of Croesus and Peisistratus in the mid-sixth century BC in ancient Greece.
อีสป (อังกฤษ: Aesop – ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล หรือราวพุทธกาล?) นักเล่านิทานชาวกรีก ในตำนาน กรีก โบราณ นิทานที่กล่าวว่าเล่าโดย "อีสป" เชื่อกันว่าเป็นนิทานที่รวบรวมมาจากหลายแหล่ง นิทานอีสปได้รับความนิยมแพร่หลายเนื่องจากกวีชาวโรมันชื่อเพดรัสนำมาเล่าจนแพร่หลายในคริสต์ศตวรรษที่ 1 (ระหว่าง พ.ศ. 443-543) และต่อมา "ฌอง เดอ ลา ฟงแทน" กวีชาวฝรั่งเศสได้นำมาเรียบเรียงใหม่เป็นร้อยกรองที่ค่อนข้างเกินจริงแต่มีชีวิตชีวาเมื่อปี พ.ศ. 2211
นิทานที่อีสปเล่า นิยมเรียกกันว่า นิทานอีสป เป็นนิทานสอนคนทั่วไปในด้านศีลธรรมโดยใช้สัตว์ต่างๆ เป็นตัวละคร เช่น เรื่องเด็กเลี้ยงแกะ ลาโง่ หมาจิ้งจอกกับองุ่น เป็นต้น
สำหรับ ตัวอีสปเองนั้น เชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่เดิมเคยเป็นทาสมาก่อน แต่สามารถเป็นไทได้เพราะความสามารถในการพูดของตัวเอง เป็นบุคคลที่ไหวพริบปฏิภาณดีเยี่ยม เป็นคนพูดที่เก่งกาจคนหนึ่งในยุคนั้น

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

++[8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย]++

10 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย
ใน ปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่ เราพูดกันติดปาก ผมจึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันครับ
1) อินเทรนด์ (in trend) คำ นี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรื อโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้ องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุ ณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้ องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้
2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่ างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึ งอะไรเหรอ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริ งหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น "He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง ดัง นั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคื อการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)
3) ดูหนัง soundtrack เวลา คุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่ พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนั งหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็ นภาษาอื่น ส่วน หนังที่มีคำบรรยายใต้ ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ ภาพเป็นภาษาอังกฤษ หนังบางเรื่องจะ มีคำบรรยายใต้ ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นั กแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/videos/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มี คำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพั ฒนาภาษาอังกฤษของคุณ
4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่ง ฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior
5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้ งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่ แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์
6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรอง ว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็ นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็ นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่ า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่ างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่ างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ( ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้ อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."
7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ใน กรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ
8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่ง คงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้ างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนั บสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลัง

++ขอบคุน :: http://variety.teenee.com/foodforbrain/11721.html

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Château d'Angers




Le Château d’Angers est situé dans la ville d’Angers dans le département de Maine-et-Loire en France.
Le château est géré par le Centre des Monuments Nationaux [1].
La forteresse, sur un promontoire de schiste ardoisier qui domine la Maine, fut l’un des sites occupés par l’Empire romain à cause de sa position défensive stratégique.
Pendant le IXe siècle, la forteresse passa sous l’autorité des comtes d’Anjou. Elle est conquise en 1204 par Philippe II. Les remparts massifs construits de 1230 à 1240 à l’initiative de saint Louis ont une circonférence d’environ 650m de long et sont flanqués de dix-sept tours. Du côté nord, l’abrupt du plateau est tel que les architectes n’ont pas jugé nécessaire de compléter les défenses.
Durant les guerres de Religion, Henri III donna l’ordre de raser la place afin qu’elle ne tombe pas entre les mains des protestants. On commença à découronner les tours, mais les travaux furent interrompus. On décida alors d’établir à leurs sommets des terrasses d’artillerie.
Au début de messidor an I (fin juin 1793), les Vendéens échouent à investir la place forte.
Pendant la Seconde Guerre mondiale, les bombardements alliés touchent un dépôt de munition dont l’explosion endommage les remparts.
Le château abrite aujourd’hui la Tapisserie de l’Apocalypse, célèbre tenture datant du Moyen Âge, relatant l’Apocalypse selon saint Jean ; tenture réalisée par le lissier royal Nicolas Bataille sur des dessins d’Hennequin de Bruges.
Remarques concernant le château d’Angers : ce château (réputé comme l’un des plus imprenables de France) fut pris une seule et unique fois dans son histoire, du fait de deux hommes seuls ! Les profondes douves qui cerclent le château n’ayant jamais été inondées malgré la présence mitoyenne de la Maine (le château ayant toutefois été bâti près de ce point d’eau dans l’optique de dériver son cours) ont évidemment facilité cette intrusion. Pour ce qui est des douves, elles abritèrent par contre une collection d’animaux sauvages (lions, panthères, loups, ours…) ainsi que des rapaces. La ville d’Angers a d’ailleurs le projet de remettre au goût du jour la fauconnerie, si chère au célèbre « Bon roi René » dès l’été 2007. La municipalité a d’ailleurs d’ores-et-déjà fait l’acquisition de deux rapaces.

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภาพอัศจรรย์กลางวันกับกลางคืน ห่างกันนิดเดียวเอง


ภาพนี้ถ่ายโดยลูกเรือในยานโคลัมเบียในการปฏิบัติการครั้งสุดท้าย ภาพนี้ถ่ายผ่านดาวเทียมในวันที่ท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอก เป็นภาพของทวีปยุโรปและแอฟริกาในเวลาอาทิตย์อัสดง กึ่งหนึ่งของภาพเป็นเวลากลางคืน แสงสว่างที่เป็นจุดๆ ที่คุณเห็นนั้นคือแสงไฟในเมือง ส่วนบนสุดของทวีปแอฟริการ คือ ทะเลทรายซาฮาร่า เห็นได้ว่าในเขตฮอลแลนด์ ปารีส และะบาร์เซโลน่านั้นต้องเปิดไฟเพื่อ ให้แสงสว่างยามค่ำคืน ขณะที่ในลอนดอน ลิสบอน และแมนดริด ยังคงเจิดจ้าด้วยแสงสว่างของเวลากลางวัน แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องอยู่ในเขตช่องแคบยิบรอลต้า ขณะเดียวกันทะเลเมดิเตอเรเนียนกลับถูกปกคลุมด้วยความมืดของยามราตรี คุณจะเห็นหมูเกาะอะโซเรสตรงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ด้านขวาล่างของอะโซเรส คือ หมู่เกาะมามาเดล่า ต่ำลงมาทางด้านล่าง คือ หมู่เกาะแคเนอรี่ และต่ำลงมาทางใต้นั้นอยู่ใกล้กลับบริเวณสุดเขตฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา คือ หมู่เกาะ เคป เวอร์ด เห็นได้ชัดว่าทะเลทรายซาฮาร่าซึ่งกินบริเวณกว้างนั้น เป็นส่วนที่จะเห็นความแตกต่างของช่วงเวลากลางวันและกลางคืนได้อย่างชัดเจน ด้านซ้ายบน คือ กรีนแลนด์ที่หนาวเย็น
แปลกดีเนอะ
---------------------------
อย่าลืมเข้าไปพิมพ์บัตรประจำตัวสอบของม.ศิลปากรนะจ๊ะเพื่อนๆ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Château de Neuschwanstein สวยมากๆ



Le château de Neuschwanstein est un château pittoresque allemand situé près de Füssen dans l'Allgäu. Louis II de Bavière l'a fait construire au XIXe siècle. Quoique la construction du château ait été rejetée par son entourage et par le peuple, c'est aujourd'hui l'un des châteaux les plus célèbres d'Allemagne.

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

UPDATE !!!

- พรุ่งนี้ 4 ตุลาคม สอบโควตา ม.เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน นะจ๊ะเพื่อนๆ เข้าไปดูที่นั่งสอบและห้องสอบได้ที่ http://esd.psd.kps.ku.ac.th/Quota%20new/index.html
- วันที่ 12 ตุลาคม สอบ วัดแววความเป็นครู เข้าไปดูรายชื่อและห้องสอบได้ที่ www.cuas.or.th

---------

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

The Forbidden City



The Forbidden City was the Chinese imperial palace from the mid-Ming Dynasty to the end of the Qing Dynasty. It is located in the Dongcheng District, in the middle of Beijing, China, and now houses the Palace Museum. For almost five centuries, it served as the home of the Emperor and his household, as well as the ceremonial and political centre of Chinese government.
Built from 1406 to 1420, the complex consists of 980 surviving buildings with 8,707 bays of rooms[1] and covers 720,000 square metres. The palace complex exemplifies traditional Chinese palatial architecture,[2] and has influenced cultural and architectural developments in East Asia and elsewhere. The Forbidden City was declared a World Heritage Site in 1987,[2] and is listed by UNESCO as the largest collection of preserved ancient wooden structures in the world.
Since 1924, the Forbidden City has been under the charge of the Palace Museum, whose extensive collection of artwork and artifacts were built upon the imperial collections of the Ming and Qing dynasties. Part of the museum's former collection is now located in the National Palace Museum in Taipei. Both museums descend from the same institution, but were split after the Chinese Civil War.

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ลองตอบดู แล้วจะรู้คุณคือใคร....

ถ้าตอบถูก......
10 ข้อ คุณเป็น...อัจฉริยะ
9 ข้อ คุณเป็น...สมาชิกของเมนซาณ
8 ข้อ คุณเป็น...วิศวกร
7 ข้อ คุณเป็น...นักศึกษามหาวิทยาลัย
6 ข้อ คุณเป็น...นักเรียนมัธยมปลาย
5 ข้อ คุณเป็น...นักเรียนประถม
4 ข้อ คุณเป็น...ครูสอนนักเรียนมัธยม
3 ข้อ คุณเป็น...ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย
2 ข้อ คุณเป็น...นักสืบ FBI
1 ข้อ คุณเป็น...สมาชิกสภาคองเกรส
0 ข้อ คุณเป็น...เป็นเรื่องธรรมดา
เชิญลองทำแล้วเขียนคำตอบลงบนกระดาษก่อนดูเฉลยนะ
(พยายามอย่าแค่คิดไว้แล้วจำไปดูคำตอบ เพราะอาจเบี่ยงเบนได้นะ)
ถ้าตอบถูกหมดโคตรเก่งอย่าโกงนะ
ทดสอบดูมี 10 คำถามนะ...ลองตอบดูภายใน 10 นาที
(ทำแล้วบอกกันด้วยนะค้า ว่าแต่ละคนตอบถูกกี่ข้อ อิอิ)

1. บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน มีกี่เดือนที่มี 28 วัน

2. ถ้าคุณหมอให้ยามา 3 เม็ด แล้วบอกให้คุณกินยาทุกๆ ครึ่งชั่วโมงคุณต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะกินยาหมด

3. ถ้าเข้านอนตอน 2 ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน 9 โมงเช้าถามว่าจะได้นอนกี่ชั่วโมงก่อนที่นาฬิกาปลุกจะ ดั ง

4. เอา 30 หารครึ่ง แล้วบวก 10 จะได้คำตอบเท่าไหร่

5. ชาวนามีแกะ 17 ตัว ทุกตัวยกเว้น 9 ตัวตายหมดถามว่ายังมีแกะที่มีชีวิตเหลืออยู่กี่ตัว

6. ถ้าคุณมีไม้ขีดไฟเหลือเพียงก้านเดียวแล้วต้องเข้าไปใ นห้องที่ทั้งหนาวทั้งมืดในห้องนั้นมีฮีตเตอร์น้ำมัน ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไข คุณจะเลือกจุดอะไร

7. ชายคนหนึ่งสร้างบ้านด้วยไม้ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าท ั้ง 4 ด้านและหันบ้านไปทางทิศใต้ ถ้ามีหมีผ่านมาถามว่าหมีตัวนั้นจะมีสีอะไร

8. หยิบแอปเปิ้ล 2 ลูกออกจากแอปเปิ้ล 3 ลูก ถามว่าคุณจะได้อะไร

9. โมเสสเอาสัตว์ขึ้นเรือตอนวันสิ้นโลกไปชนิดละกี่ตัว

10. ถ้าคุณขับรถซึ่งบรรทุกคน 43 คนจากชิคาโกไปพิสเบอร์กแล้วหยุดรับอีก 7 คนขึ้นมา แล้วหยุดจอดให้คนลงที่เคลเวอร์แลนด์ 5 คน จนมาถึงฟิลาเดอเฟียในอีก 20 ชั่วโมงต่อมา ถามว่าคนขับรถชื่ออะไร ******** *********** ************* ***************** *******************
(ดูเฉลยข้างล่าง) ******************* *****************
************** ************
เฉลย
1. 12 เดือน พราะทุกเดือนก็มีอย่างน้อย 28 วันอยู่แล้ว
2. 1 ชั่วโมง เพราะถ้าคุณกินยาตอนบ่ายโมง เม็ดที่ 2 ก็จะกินตอนบ่ายโมงครึ่ง และเม็ดที่ 3 ก็จะกิน ตอนบ่าย 2
3. 1 ชั่วโมง เพราะตั้งนาฬิกาปลุกตอน 9 โมง เข้านอนตอน 2 ทุ่ม นาฬิกาจะดังตอน 3 ทุ่ม
4. 70
5. 9 ตัว
6. จุดไม้ขีดไฟก่อน
7. สีขาว เพราะถ้าบ้านหันไปทางทิศใต้แสดงว่าบ้านต้องอยู่ทิศเห นือหรือขั้วโลกเหนือ
8. ได้แอปเปิ้ล 2 ลูก
9. ไม่ได้เอาไปเลย เพราะคนที่เอาสัตว์ขึ้นเรือไม่ใช่โมเสสแต่เป็นโนอาร์
10. ชื่อของคุณนั่นแหละ ก็คุณเป็นคนขับรถนี่


เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1144787

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปฏิทินกำหนดการสอบวิชาเฉพาะ (ตุลาคม 2551)

การสอบวิชาเฉพาะ (ตุลาคม 2551)
-ประกาศระเบียบการสอบฯ 23 สิงหาคม 2551 ถึง 8 กันยายน 2551 ทาง website : www.cuas.or.th
-รับสมัคร 25 สิงหาคม 2551 ถึง 8 กันยายน 2551 ทาง website : www.cuas.or.th และชำระค่าสมัครผ่านธนาคาร หรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย
-ผู้สมัครตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม ถึง 10 กันยายน 2551 ทาง website : www.cuas.or.th
-ผู้สมัครยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม ถึง 13 กันยายน 2551 โทรสารหมายเลข 0-2354-5624 , 0-2354-5598
-ประกาศแผนผังที่นั่งสอบและอุปกรณ์วิชาเฉพาะ 4 ตุลาคม 2551 ทาง website : www.cuas.or.th
-กำหนดการสอบข้อเขียนและภาคปฏิบัติ 12 – 18 ตุลาคม 2551 ตามประกาศแผนผังที่นั่งสอบของแต่ละสนามสอบ
-ประกาศผลการสอบ 29 พฤศจิกายน 2551 ทาง website : www.cuas.or.th
++++++++++++++++
แถม ^^
-มอ.รับ ปริญญาตรีโควต้าเรียนดี หมดเขต 20สิงหาคมนี้
-มลว.รับโควต้าปริญญาตรีเภสัช ระดับม.6 หมดเขต8 กันยายนนี้
-ม.เกษตรฯบางเขน ให้10ทุนต่อปริญญาตรี ม.6

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Route de la soie


La route de la soie était un réseau de routes commerciales entre l'Asie et l'Europe allant de Chang'an (actuelle Xi'an) en Chine jusqu’à Antioche, en Syrie médiévale. Elle doit son nom à la plus précieuse marchandise qui y transitait : la soie, dont seuls les Chinois connaissaient le secret de fabrication. Cette dénomination, forgée au XIXe siècle, est due au géographe allemand Ferdinand von Richthofen.

เส้นทางสายไหม (อังกฤษ: Silk Road จีน: 絲綢之路, 丝绸之路 พินอิน sīchóu zhī lù เปอร์เซีย: Râh-e Abrisham ตุรกี: İpekyolu อิตาลี: Via della seta โปรตุเกส: Rota da Seda ญี่ปุ่น: シルクロード อินเดีย: रेशम मार्ग) เป็นเส้นทางของขบวนคาราวานในภูมิภาคเอเชียใต้ ที่เชื่อมเมืองต่างๆ ระหว่างเอเชียไมเนอร์ไปถึงประเทศจีน โดยขนส่งสินค้าสำคัญได้แก่ เส้นไหม ผ้าไหม และเครื่องเทศ เป็นต้น
เส้นทางสายไหมเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของแหล่งอารยธรรมโบราณหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์โบราณ เมโสโปเตเมีย จีน โรมัน เปอร์เซีย และอินเดีย
สำหรับการเดินทางทางทะเล เส้นทางสายไหมยังขยายไปยังญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย อิตาลี โปรตุเกส และสวีเดน เป็นต้น
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังการรุ่งเรืองของจักรวรรดิมองโกล เส้นทางสายไหมกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง และมาร์โก โปโลนักเดินทางชาวอิตาลี ได้เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมไปถึงประเทศจีน

The Silk Road, or Silk Route, refers to a trade route through regions of the Asian continent connecting East and West Asia. Geographically, it is an interconnected society of ancient trade routes connecting Chang'an (today's Xi'an) to Europe and the Near East. It was central to cultural transmission by linking traders, merchants, pilgrims, monks, soldiers, nomads and urban dwellers from China to the Mediterranean Sea for thousands of years.[1]
The route enabled people to transport trade goods, especially luxuries such as silk, satins, musk, rubies, diamonds, pearls and rhubarb[2] from different parts of the country in China, India, and Asia Minor to the Mediterranean, extending over 8,000 km (5,000 miles). Trade on the Silk Road was a significant factor in the development of the great civilizations of China, Egypt, Persia, Arabia, India, Rome, and Byzantium and helped to lay the foundations for the modern world in several respects. Although the term, the Silk Road, implies a continuous journey, very few travelers traveled the route from end to end. For the most part, goods were transported by a series of agents on varying routes and trade took place in the bustling mercantile markets of the oasis towns.[2]
The Central Asian part of the trade route was initiated around 114 BC by the Han Dynasty[3] largely through the missions and explorations of Zhang Qian[4] although earlier trade across the continents had already existed. In the late Middle Ages, use of the Silk Road declined as sea trade increased.[5]



วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ที่สุดในประเทศไทย

จังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุด
จังหวัดนครราชสีมา 22,848,421 ตารางกิโลเมตร

จังหวัดที่มีพื้นที่น้อยที่สุด
งหวัดสมุทรสงคราม 431,801 ตารางกิโลเมตร

ยอดเขาสูงที่สุด
ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่

จังหวัดที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุด
จังหวัดเชียงราย 2,575 เมตร หรือ 8,450 ฟุต

แม่น้ำที่ยาวที่สุด
แม่น้ำมูล ยาว 673 กิโลเมตร

ส่วนที่ยาวที่สุดของไทยจากเหนือสุด
อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงใต้สุด คืออำเภอเบตง จังหวัดยะลา ระยะทาง 1,620 กิโลเมตร

ส่วนที่กว้างที่สุดของไทยจากตะวันออก
ตำลบช่องแม็ก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ถึงตะวันตก คือ ด่านเจดีย์สามองค์ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 750 กิโลเมตร

ส่วนที่แคบที่สุดของแผ่นดินไทย
ที่ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบฯ กว้างเพียง 10.6 กิโลเมตร

บริเวณที่แคบที่สุดของคาบสมุทรภาคใต้
คอคอดกระ อยู่ที่จังหวัดระนอง กว้าง 50-80 กิโลเมตร

เทือกเขาที่ยาวที่สุด
เทือกเขาตะนาวศรี ยาวประมาณ 834 กิโลเมตร สูงประมาณ 1,500 เมตร

บริเวณที่ฝนตกชุกที่สุด
จังหวัดระนอง ฝนตกเฉลี่ยปีละประมาณ 5,106.3 มิลลิเมตร

บริเวณที่ฝนตกน้อยที่สุด
จังหวัดตาก ฝนตกเฉลี่ยปีละประมาณ 951.1 มิลลิเมตร

ทางรถไฟสายที่ยาวที่สุด
ทางรถไฟสายใต้ จากสถานีธนบุรี ถึงสุไหงโก-ลก ยาว 1,144 กิโลเมตร

ทางหลาวแผ่นดินสายที่ยาวที่สุด
ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม เริ่มจากกรุงเทพฯ ถึงคลองพรวน ระยะทาง 1,352 กิโลเมตร

พระนอนที่ยาวที่สุด
พระนอนวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ ยาว 46 เมตร

พระพุทธยืนที่สูงที่สุด
หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ

พระพุทธรูปปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุด
พระพุทธโคดม วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี

เจดีย์ที่สูงที่สุด
พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม สูง 3 เส้น 1 คืบ 6 นิ้ว

สะพานที่ยาวที่สุด
สะพานติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ยาว 2,950 เมตร

พันธุ์ปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปลาบึก พบในแม่น้ำโขง

วัดที่มีเจดีย์มากที่สุด
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ

นายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด
จอมพล ป. พิบูลสงคราม 14 ปี 11 เดือน 18 วัน

น้ำตกที่สูงที่สุด
น้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก

ระฆังที่ใหญ่ที่สุด
ระฆังวัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

เกาะที่ใหญ่ที่สุด
เกาะภูเก็ต พื้นที่ประมาณ 538,720 กิโลเมตร

เครดิต : http://www.baanjomyut.com/library/miscellary/nuberinthai.html

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5

1.[ลำดับที่ 18] ชาร์ลส์ เดอ โกลล์
Charles de Gaulle (10 ปี)
2. รักษาการประธานาธิบดี
อแลง โปเอร์ Alain Poher(2 เดือน)
3. [ลำดับที่ 19] ชอร์ช ปงปิดู Georges Pompidou(7 ปี)
4. รักษาการประธานาธิบดี
อแลง โปเอร์ Alain Poher (6 เดือน)
5. [ลำดับที่ 20] วาเลรี ชิสการ์ด เดส์แตง Valéry Giscard d'Estaing (7 ปี)
6. [ลำดับที่ 21] ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ François Mitterrand(14 ปี)
7. [ลำดับที่ 22]ฌาคส์ ชีรัค Jacques Chirac(12 ปี)
8. [ลำดับที่ 23] นิโกลาส์ ซาร์โกซี Nicolas Sarkozy

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Convention de Schengen-สนธิสัญญาเชงเก้น


แผนที่แสดงการเข้าร่วมข้อตกลงเชงเกน สีฟ้าคือประเทศที่ประกาศใช้แล้ว สีเขียวคือประเทศที่เตรียมเข้าร่วม
La convention de Schengen prévoit la suppression des contrôles d'identité aux frontières entre les pays signataires. Le territoire sans frontière ainsi créé est communément appelé espace Schengen (du nom du village luxembourgeois de Schengen, tripoint frontalier entre l'Allemagne, le Luxembourg (le Bénélux) et la France, au bord de la Moselle, où l’accord (entre ces cinq États) a été signé en juin 1985).
Les pays signataires pratiquent une politique commune en ce qui concerne les visas et ont renforcé les contrôles aux frontières limitrophes de pays extérieurs à l’espace. Bien qu'il n'y ait en théorie plus de contrôles aux frontières internes à l’espace Schengen, ceux-ci peuvent être mis en place de manière temporaire s'ils s'avèrent nécessaires au maintien de l’ordre public ou de la sécurité nationale. Désormais, les citoyens étrangers qui disposent d'un visa de longue durée pour l’un des pays membres peuvent circuler librement à l’intérieur de la zone.
Avec l'application le 21 décembre 2007 de la convention par neuf pays supplémentaires, l'espace Schengen regroupe 24 pays européens et permet la libre circulation d'environ 400 millions de citoyens.

+++++++

ความตกลงเชงเกน (ภาษาอังกฤษ: Schengen Agreement) เป็นความตกลงระหว่างประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปอันให้สัตยาบันเมื่อ พ.ศ. 2528 สาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้สมาชิกในกลุ่มสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง ข้อตกลงนี้มีผลต่อประชากร 4,000,000 คนใน 24 ประเทศ (21 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ครอบคลุมเนื้อที่ 4,268,633 ตารางกิโลเมตร (1,648,128 ตารางไมล์) นอกจากนั้นยังให้การอนุญาตชั่วคราวกับผู้ถือใบอนุญาตเชงเกน (Schengen Visa) มีสิทธิในการเดินทางได้ชั่วคราวในประเทศสมาชึกโดยถือใบอนุญาตใบเดียว ตามสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม (Treaty of Amsterdam) ข้อตกลงและตัดสินใจทุกข้อของความตกลงเชงเกนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายของสหภาพยุโรป
ประเทศที่ลงนามในความตกลงฉบับนี้มีด้วยกัน 30 ประเทศรวมทั้งประเทศในสหภาพยุโรปทุกประเทศ และประเทศนอกสหภาพอีก 3 ประเทศคือ ประเทศไอซ์แลนด์ ประเทศนอร์เวย์ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันมี 24 ประเทศที่ใช้ความตกลงนี้ สหราชอาณาจักรยังมิได้ใช่กฏนี้ หลังจากที่มีการปฏิบัติข้อตกลงนี้ด่านหรือป้อมตรวจคนเข้าเมืองของประเทศที่อยู่ในเครือเชงเกนก็ถูกรื้อทิ้ง[1]

ประเทศสมาชิกเชงเก้น
ประเทศที่อนุญาตให้ประชาชนในกลุ่มเชงเกนสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง และประชาชนจากประเทศนอกกลุ่มเชงเกนเดินทางระหว่างประเทศเชงเกนได้โดยใช้ใบอนุญาตเพียงใบเดียว - ใบอนุญาตเชงเกน (Schengen Visa) ประเทศสมาชิกทั้งหมดหลังจากการเข้าร่วมเพิ่มเติมวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ประกอบด้วย
ประเทศเบลเยียม
ประเทศฝรั่งเศส
ประเทศอิตาลี
ประเทศลักเซมเบิร์ก
ประเทศเนเธอร์แลนด์
ประเทศเดนมาร์ก
ประเทศกรีซ
ประเทศโปรตุเกส
ประเทศสเปน
ประเทศเยอรมนี
ประเทศออสเตรีย
ประเทศฟินแลนด์
ประเทศสวีเดน
ประเทศนอร์เวย์
ประเทศไอซ์แลนด์
ประเทศมอลตา
สาธารณรัฐเช็ก
ประเทศเอสโตเนีย
ประเทศฮังการี
ประเทศโปแลนด์
ประเทศสโลวาเกีย
ประเทศสโลวีเนีย
ประเทศลัตเวีย
ประเทศลิทัวเนีย
ประเทศโมนาโก
ประเทศไซปรัส เลื่อนการอนุญาตไปหนึ่งปี ประเทศบัลแกเรีย และ ประเทศโรมาเนีย ยังอยู่ในการพิจารณา

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Aéroport international de Bangkok สนามบินสุวรรณภูมิ



L'aéroport international de Bangkok', également « aéroport international de Suvarnabhumi » (prononcer Souwanapoum) depuis le 28 septembre 2006 (en anglais Bangkok International Airport), (code AITA : BKK, code OACI : VTBS) est le principal aéroport de Thaïlande. Il complète l'Aéroport international Don Muang dédié à la majorité des vols domestiques, au Fret aérien et à l'armée.
Bangkok est la plaque tournante principale pour les vols à destination de l'Asie du Sud-Est, l'ancien aéroport étant arrivé à saturation, Suvarnabhumi airport est largement plus grand que Don Muang.
Ce nouvel aéroport international, Suvarnabhumi Airport, à 30 km à l'est de Bangkok, a été conçu pour un trafic annuel maximum de 45 millions de passagers, sa construction a pris beaucoup de retard et son ouverture n'a été officialisée que le 28 septembre 2006, après de nombreux reports. Il posséde la plus haute tour de contrôle du monde.
Le 29 juillet 2006, un Boeing 747-400 de la Thai Airways International (vol TG181) en provenance de Bangkok-Don Muang, avec à son bord l'ancien premier ministre Thaksin Shinawatra, de nombreuses personnalités officielles et 400 passagers, s'est posé sur la piste à 8 heures 09 minutes, inaugurant ainsi le premier vol commercial sur le nouvel aéroport. D'autres vols commerciaux ont permis de tester ses infrastructures jusqu'à la date de son ouverture officielle.
De nombreuses erreurs de construction, principalement dues à la mauvaise qualité des matériaux utilisés et à la sous-estimation de la consistance du sous-sol marécageux, ont conduit les autorités Thaïlandaises à rouvrir aux vols commerciaux de passagers l'aéroport Don Muang International pour soulager les infrastructures de Suvarnabhumi Airport.
Depuis le 25 mars 2007, le nombre de vols intérieurs au départ de Suvarnabhumi Airport a diminué, suite au transfert des vols de compagnies aériennes "low cost" et de certains vols intérieurs de la Thai Airways International vers le terminal Domestique de l'ancien aéroport Don Muang International (au nord de Bangkok).
Les correspondances aériennes nécessitant le transfert d'un aéroport vers l'autre doivent être envisagées à un intervalle de 3h30, durée permettant d'accomplir les formalités internationales, récupérer ses bagages et se rendre au second aéroport.

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551

มุมมองต่างชาติกับการทำงานแบบไทย

บ้านเราเดี๋ยวนี้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานหลายพันชีวิต พอฝรั่งกับไทยมาเจอกัน ความอลเวงก็เลยเกิดขึ้น เพราะนอกจากภาษาและความเคยชินจะต่างกันชนิดฟ้ากับเหวแล้ว นิสัยการทำงานก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย ฝรั่งจะนินทาคนไทยว่ายังไรบ้าง มาแอบฟังกันดีกว่า.... เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:
1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี - เจฟฟรีย์ บาร์น
2. การโต้แย้ง เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร - ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ
3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร - ไมเคิล วิดฟิล์ค
4. ความรับผิดชอบ 1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร 2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก - สเตฟานี จอห์นสัน
5. วิธีแก้ไขปัญหา คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด - ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก
6. บอกแต่ข่าวดี คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ 1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา 2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย - โจนาธาน ธอมพ์สัน
7. คำว่า " ไม่เป็นไร " เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญหาแทน - เจนิส อิกนาโรห์
8. ทักษะในการทำงาน 1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า 2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม - เดวิด กิลเบิร์ก
9. ความซื่อสัตย์ พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน - เฮเบิร์ก โอ ลิสส์
10. ระบบพวกพ้อง คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง - มาร์ค โอเนล ฮิวจ์
11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร 1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน 2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน 3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที 4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ 5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย - วิลเลี่ยม แมคคินสัน
12. นับถือระบบอาวุโส คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท - เนลสัน ฟอร์ด
ที่มา : http://www.aromdee.net/view/view_forward.php?id=1986&tb=story

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Baccalauréat

Le baccalauréat (altération du bas-latin bachalariatus, désignant un rang de débutant d'abord dans la chevalerie, et puis dans la hiérarchie religieuse et universitaire ou de bacca lauri baie de laurier) est un grade/diplôme de l'enseignement supérieur correspondant à différents niveaux suivant les pays. Il désigne généralement le premier degré dans une faculté. Le baccalauréat est le grade de bachelier. Le baccalauréat peut être accompagné de la mention d'une discipline : baccalauréat ès arts, baccalauréat ès sciences, baccalauréat en droit, baccalauréat ès lettres...

------

chevalerie [n.f] ความกล้าหาญและรักเกียรติ,ตำแหน่งอัศวิน
hiérarchie [n.f.] ลำดับการปกครอง
bachelier [n.] ปริญญาตรี

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ประโยคที่ใช้ในการ souhaiter quelque chose à quelqu'un

Au moment de commencer un repas
- Bon appétit!
Au moment de commencer à boire [trinquer]
- A votre santé !
- A la votre !
- A la tienne !
- Tchin tchin !
- Au succès de notre projet !
Accueil offciel [quand qqn arrive dans une ville, dans un pays]
- Bienvenue à ...
- Soyez le/la bienvenu (e) à..
A quelqu'un qui va travailler
- Bon courage !
- Travaillez [travaille] bien !
A quelqu'un qui aborde une tache [il peut soit réussir,soit échouer]
- Bonne chance !

**Guide pratique de la communication**

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

68 สิ่ง ที่เราไม่เคยรู้

1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...
2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปเบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการ ต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...
8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...
9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว

11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13.ฮิปโปผายลมทางปาก...
14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...
15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...
17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที

21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...
23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...
27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน
28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29.มันเป็นไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว

31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศ แปลว่าคนนั้นตายในสงคราม35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น
36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ
37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มี!ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง
38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)
39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต
40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็วมาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว

41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว
42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน
44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982
45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.
46.ตอนที่ f4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2
47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต
48.โดนั ลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน
49.ภาพยนต์เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาท)
50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง

51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู
52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม
53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่
54.จิงโจ้เป็น!เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้
55.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่
56.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว
57.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง
58.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้
59.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
60.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย

61.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี
62.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ
63.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ
64.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เป็นของเหลว
65.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด
66.เลือดของกุ้งมังกรเป็นสีน้ำเงิน
67.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
68.รู้หรือเปล่าว่าเว็บgoogleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลข


เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1098598

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ทั่วไปเกี่ยวกับฝรั่งเศส

ความรู้ทั่วไป
จำนวนประชากร : 58.3 ล้านคน ( 01 มกราคม 2539) เป็นอันดับที่ 17 ของโลกความหนาแน่นของประชากร : 105 คน ต่อตารางกิโลเมตร

พื้นที่ : มีพื้นที่ 551,000 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในยุโรป หรือหนึ่งในสี่ของพื้นที่ในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หากมองดูจากแผนที่ประเทศฝรั่งเศสแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหมือนรูปหกเหลี่ยม ดังนั้นบางครั้งคนฝรั่งเศสจึงเรียกประเทศของตนว่า L'hexagone ซึ่งแปลว่ารูปหกเหลี่ยม

การปกครอง : การปกครองแบบรัฐธรรมนูญปี 1958 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี 1962 มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ (คนปัจจุบัน President Jacques Chirac) เข้าดำรงตำแหน่งโดยการเลือกตั้ง ซึ่งมีขึ้นทุกๆ 7 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก (สส) ที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมทุกๆ 9 ปี และ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเลือกตั้งทุกๆ 3 ปี

เพลงชาติ ลา มาร์แซยแยสา (La Marseillaise) แต่งโดย รูเชต์ เดอ ลิลล์ (Rouget De Lisle) โดยคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมืองสตราสบูร์กเมื่อปี 1792 เดิมมีชื่อว่า าเพลงรบกองทัพแห่งไรน์า (Chant de Guerre pour I'Armee du Rhine) ซึ่งมีท่วงทำนองและเนื้อร้องที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้ติดปากชาวฝรั่งเศส และเปลี่ยนมาเป็นเพลงประจำชาติในชื่อของ าลา มาร์แซยแยสา เมื่อปี 1795

ธงชาติ ธงไตรรงค์ หรือ Tricolore เป็นธงต้นฉบับของธงชาติที่หลายประเทศนำมาใช้ ซึ่งประกอบด้วย 3 สี คือ แดง น้ำเงิน ขาว เดิมทีธงลาฟาแยต (La Fayette) ซึ่งในขณะนั้นมี 2 สี คือ แดง และ น้ำเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ของกองทหารรักษาพระนครในกรุงปารีสได้ก่อการปฏิวัติ ต่อมาในปี 1789 (พ.ศ. 2332) มีการเพิ่มสีขาวอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ในพระราชวงศ์บูร์บองส์เข้าไป และได้นำมาใช้เป็นธงชาติมาตราบเท่าทุกวันนี้

ภูมิอากาศ มี 3 ประเภท คือแบบภาคพื้นสมุทร แบบภูเขา และแบบเมดิเตอร์เรเนียน ในส่วนของนครปารีส นั้น มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปี 12 องศาเซลเซียส แต่เอาแน่อะไรกับภูมิอากาศปารีสไม่ค่อยได้ ฝนตกได้ทุกฤดูกาล และบางทีอุณหภูมิหน้าหนาวลดลงกว่า 3 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าถ้าจะไปปารีส ก็ต้องเตรียมตัวรับหลายสถานการณ์ ทางใต้ของฝรั่งเศส มีอากาศอบอุ่นที่สุดเป็นเขตที่มีลมชื่อ มิสทรัล (Mistral) พัดผ่านในราวฤดูใบไม้ผลิ

การทิป : ตามกฏหมายฝรั่งเศส ร้านอาหารหรือภัตตาคาร สามารถคิดค่าเซอร์วิสชาร์จได้ ประมาณ 10-15% ของราคาอาหาร ดังนั้นการทิปอาจจะไม่จำเป็นเท่าไรนัก แต่คนส่วนมากมักจะทิ้งเศษเหรียญ หรือเงินสัก 2-3 ฟรังค์ ไม่ว่าจะกินกันในจำนวนเงินแค่ไหนก็ตาม หรือถ้าเราพอใจการบริการของเขา ก็อาจจะทิปให้มาก ถ้าไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน ควรจะทิ้งเงินทิปไว้สัก 1 ฟรังค์ แต่ถ้าบริการไม่ดีก็ไม่จำเป็นต้องทิปก็ได้ ทั้งนี้ในส่วนของเท็กซี่ และโรงภาพยนต์ ปกติจะทิปประมาณ 2-3 ฟรังค์

โทรศัพท์ โทรศัพท์สาธารณะในฝรั่งเศสมีทั้งแบบใช้บัตรและแบบหยอดเหรียญ ถ้าเป็นในเมืองใหญ่ๆ มักจะเป็นแบบใช้บัตร บัตรโทรศัพท์มี 2 มูลค่า คือ 40 ฟรังค์ มี 50หน่วย และ 96 ฟรังค์ มี 120 หน่วย หากจะโทรศัพท์กลับมาเมืองไทยขอแนะนำให้ใช้บัตรโทรศัพท์จะสะดวกกว่าแบบหยอดเหรียญ หาซื้อบัตรโทรศัพท์ได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์ แผงขายหนังสือที่มีอยู่ทั่วไป หรือตามสถานีรถไฟ และร้านขายของที่มีเขียนป้ายติดว่าจำหน่ายบัตรโทรศัพท์ หรือ Telecarte

หากจะโทรศัพท์มาประเทศไทยด้วยโทรศัพท์สาธารณะจะต้องหมุน 19+66+รหัสเมือง+หมายเลขที่ต้องการ
หากอยู่ที่เมืองอื่นๆในฝรั่งเศส นอกเหนือจากเมืองปารีสและต้องการจะโทรศัพท์มายังปารีส หมุนหมายเลข16+1+หมายเลขที่ต้องการ
ถ้าอยู่ในปารีสและต้องการโทรศัพท์ไปยังเมืองอื่นๆ ให้หมุนหมายเลข 16+หมายเลขที่ต้องการ
หมายเลขโทรศัพท์ที่ควรรู้ 13-โอเปอร์เรเตอร์ 1614-โอเปอร์เรเตอร์สำหรับระหว่างประเทศ

ไฟฟ้า กระแสไฟที่ฝรั่งเศสใช้คือ 220 โวลท์ เป็นปลั๊กชนิด 2 ตา บางพื้นที่เป็นปลั๊กชนิด 3 ขา

น้ำประปา น้ำประปาในฝรั่งเศสสะอาดสามารถดื่มได้จากก๊อก น้ำจากก๊อกที่ไม่สะอาดพอจะมีป้ายบอกไว้เสมอว่า ไม่สามารถดื่มได้ หรือ eau non potable

เวลา เวลาของฝรั่งเศสจะช้ากว่าที่เมืองไทย 6 ชั่วโมง

เวลาทำงานและประกอบกิจการ สำนักงานส่วนใหญ่จะเปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และบางแห่งวันจันทร์ ชั่วโมงทำการคือ 9.00 หรือ 10.00 น.-18.30 หรือ 19.00 น. หยุดพักเที่ยงตั้งแต่ 12.00 หรือ 13.00 น.-14.00 หรือ 15.00 น. ร้านค้าทั่วไปจะเปิดร้านประมาณ 9.00-18.00 น. ตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ และมักพักตอนเที่ยง มีร้านค้าจำนวนมากที่จะปิดในช่วงวันจันทร์ และแทบทุกร้านจะไม่เปิดขายสินค้าในวันอาทิตย์โดยเฉพาะช่วงบ่ายเลย ร้านขนมปัง มักจะเปิดกันตั้งแต่ 7.00 น. และหยุดพักตอนเที่ยง หลังจากนั้นจะเปิดอีกครั้งจนถึงเวลาประมาณ 19.00 น. หรือเกินกว่านั้น ส่วนร้านที่ไม่หยุดพักในตอนเที่ยง ได้แก่ซูเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้า

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

กินแอปเปิ้ลวันละลูกไม่ต้องหาหมอ..ห่างไกลโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

นักวิทยาศาสตร์เมืองเบียร์ได้พิสูจน์ให้เห็นคำกล่าวที่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละลูกไม่ต้องไปหาหมอให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง โดยได้แสดงให้ เห็นว่าการกินแอปเปิ้ล จะช่วยไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
คณะนักวิจัยของ ดร.ปีเตอร์ ชเรนค์ ได้พบว่าทั้งแอปเปิ้ลและน้ำแอปเปิ้ลคั้น จะช่วยส่งเสริมการทำหน้าที่ทางชีววิทยา โดยการสร้างสารประกอบต่อต้านมะเร็ง ขณะเกิดขบวนการหมัก
รายงานผลการวิจัย ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ “โภชนาการ” แสดงว่าสารเพคตินในแอปเปิ้ล และในน้ำแอปเปิ้ลคั้น มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็งของลำไส้ใหญ่ สารนั้นคือบิวตี้เรต เป็นกรดไขมันข้อสั้น ช่วยบำรุงเยื่อบุผิวลำไส้ใหญ่แล้วยังเชื่อว่ามันยังมีบทบาทสำคัญในฐาน เป็นกากใยธรรมชาติ ต่อต้านมะเร็งของลำไส้ใหญ่อีกด้วย
นักวิจัยได้กล่าวสรุปว่า “แอปเปิ้ลเป็นแหล่งกากใยธรรมชาติสำคัญในอาหารแบบตะวันตก ผลไม้ซึ่งมีสารเพคตินอยู่มากชนิดนี้ คาดหวังได้ว่ามันจะมีผลกับการต่อต้านมะเร็งในลำไส้ใหญ่”.

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2551

Rallye Dakar


Le rallye Dakar (ou « Le Dakar », anciennement rallye Paris-Dakar) est un rallye-raid professionnel, qui se dispute chaque année au mois de janvier, principalement sur le continent Africain. Ce rallye est actuellement aidé financièrement par Total et organisé par A.S.O.

+++++++++++++
rallye [n.m] นัดการแข่ง , การชุมนุม
financier,-financière [adj.] ในทางการเงิน,ที่เกี่ยวกับการเงิน

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2551

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก
เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย
ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู
ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป
โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ...
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย
คิดแบบนี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู
กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวันเสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก
นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....

ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น
หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน
เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป

งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน
และผ่านคืน วันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะยังไงกับมันดี แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ
นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ
ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไร
บางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นเพียงว่า เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ แน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...บ้า!!!
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว...
เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ
ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
เคยสงสัยมั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเอง
เพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง
ทั้งในทางดีและทางชั่ว
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ
เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว...
เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...
เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว
ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล
คนข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้วมาบอกกข่าวดี
ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อม การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา ปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย... แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็ ปาไป 5 วัน
ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ
ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็น แรงบันดาลใจที่อยากจะบอกว่า
อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ
อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ เดี๋ยวตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!

แล้วพวกเรา

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน
เตรียมความพร้อมอะไรบ้างหรือยัง????

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551

รวมพลคน ชื่อ-นามสกุล สุดแปลกที่มีอยู่จริงในประเทศไทย 55+

รวมพลคน ชื่อ-นามสกุล สุดแปลกที่มีอยู่จริงในประเทศไทย (อย่างฮา)
ตลกมากๆและมีคนชื่อนี้จริงด้วยนะ ไม่ได้โม้!!

สายใจ เกาะมหาสนุก
สมศักดิ์ หวังกระแทกคาง
หวังนที จู๋ยืนยง
ณรงค์ นัดใช้ปืน
กันภัย สูญสิ้นภัย
อูโน่ หลาวทอง
ท้ายรถ (ชื่อคน)
อธิป จู๋กระจ่าง
ศักดิพันธ์ ชอบนอนหงาย
บรรจง หนึ่งในยุทธจักร
กนกกร เม่งเวหา
รรรรรร (อ่านว่า ระ-รัน-รอน)
ท่านฮ่องเต้ สมลุนาวัน
นารัตน์ พัดลม
พล.อ.การุณ เก่งระดมยิง
ลำเทียน จ้องผสมพันธุ์
มนศักดิ์ กางมุ้งคอย
นส. ชะรอยจุติมา (ชื่อ)
นส. แลคโตเย่น (ชื่อ)
ดินทะยาน แจงใส
สร้อยเหม็น ฟางน้อย
ไพรัตน์ หม้อน้ำร้อน
ภาคภูมิ ด้วนรู้ที่
หรูหรา ออมตอง
วรุณนาโศรก จันทรคดี
หรินาท ปรปักษ์เป็นจุล
ชัยยศ พรหมจารีย์
พินาศ (ชา-ติ-หะ-มา) นามสกุลพระราชทาน
วรต อกระโทก
( ชื่อ)บริสุทธิ์ (ตอนโทรสับ มักถามว่า...บริสุทธิ์อยู่มั้ย ?)
นักรบ ชนะราวี (พี่)
สงคราม ชนะราวี (น้อง)
นิธินัย เหินเวหา
ติ๊บ บุญนำ
แคน อัครฮาก
อ๊อด ไชโย
บารมี สมาธิปัญญา
( ชื่อ)บานพับ
บรรพต เจ็ดพี่น้องร่วมใจ
ชาติชาญ เล่นเอาขำ
บุญศรัทธา มหามงคล
หินชนวน อโศก
บุญพอ มีเท
จันมี โถรองมูล
( ชื่อ)สามศร (อันนี้ครูฝรั่งเรียกแล้วฮามากก)
นนนที ปล้ำกะโทก
การหาญ โดนอม (อ่านว่า โด-นอม)

5555555555555555+

เครดิต::sanook.com

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2551

เรื่องของ.....ไข่*

ไข่ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วย....
โปรตีน : ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ย่อยง่าย
ธาตุเหล็ก : มีมากในไข่แดง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ฟอสฟอรัส และแคลเชียม : ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง
วิตามินเอ : ช่วยบำรุงสุขภาพตา ปรับสภาพการมองเห็นในที่มืด และที่สว่าง รวมทั้งช่วยรักษาผิวให้สดชื่น ไม่แห้งเหี่ยว
วิตามินบี2 : ช่วยบำรุงผิว ประสาทนัยน์ตา ลิ้น ริมฝีปาก ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก

ไข่1ฟองแบ่งเป็นไข่แดง และไข่ขาว ในไข่แดงจะมีคอเลสเตอรอลสูง ส่วนในไข่ขาวไม่มีคอเลสเตอรอลเลย หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินว่า เราไม่ควรกินไข่เกินอาทิตย์ละ 3ฟอง (เหมือนเครื่องดื่มชูกำลังเลยเนอะ....ห้ามดื่มเกินวันละ 2ขวด โปรดสังเกตคำเตือน เย้ยยยยย!) เพราะจะทำให้คอเลส เตอรอลสูง แล้วอาจจะก่อให้เกิดโรคอุดตันในเส้นเลือดได้ แต่ได้มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า การที่เราทานไข่วันละ 1-2 ฟอง ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงก็จริง แต่เป็นคอเลสเตอรอลที่ดี และมีประโยชน์ต่อร่างกาย (เฮ้ออ..ค่อยโล่งอกไปหน่อย) ทานได้ทานดีทั้งเด็ก และผู้ใหญ่เลย

นอกจากนี้แล้ว ไข่ไม่ได้เป็นแค่เพียงอาหารอย่างเดียว นะจะบอกให้
ไข่ขาว สามารถนำมาทำเป็นส่วนประกอบของยาง กาว หมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง และกำจัดสิวเสี้ยนด้วยนะ
ไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิว เปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปประดิษฐ์ของสวยงาม ได้อีกมากมายจ้ะ

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

โครงสร้างของ V.arriver

arriver à + inf. (= réussir à, finir par) = สามารถ, ประสบความสำเร็จ
- Je n'arrive pas à faire des économies.
en arriver à + inf. (= aller jusqu'à, en venir à) = คิดเลยเถิดไปถึง, ย้อนคิดไปถึง
- J'en arrive à me demander s'il a vraiment du coeur.
Il arrive à qn de + inf. (= avoir lieu, se produire) = เกิดขึ้น
- Il lui arrive souvent de pleurer quand il est seul.
Il arrive que + sub. = เกิดขึ้น
- Il arrive qu'il fasse chaud en novembre, mais c'est assez rare.

++
http://www.rn.ac.th/kk/verbe1.html

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

คำที่คนไทยมักเขียนผิด

1. สำอางแปลว่า เครื่องแป้งหอม งามสะอาด ที่ทำให้สะอาดมักเขียนผิดเป็นคำว่า "สำอางค์" ...ควายการันต์(ค์) มาจากไหน?
2. พากย์แปลว่า คำพูด คำกล่าวเรื่องราว ภาษามักเขียนผิดเป็นคำว่า "พากษ์" ที่เขียนกันผิดประจำนี่ คงติดภาพมาจากคำว่า วิพากษ์(วิจารณ์)
3. เท่แปลว่า เอียงน้อยๆ โก้เก๋มักเขียนผิดเป็นคำว่า "เท่ห์" ...ติดมาจากคำว่า "สนเท่ห์" รึไงนะ?
4.โล่แปลว่า เครื่องปิดป้องศัตราวุธ ชื่อแพรเส้นไหมโปร่งมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โล่ห์" สงสัยอยู่ในกรณีเดียวกับคำว่า "เท่"
5. ผูกพันแปลว่า ติดพัน เอาใจใส่ รักใคร่มักเขียนผิดเป็นคำว่า "ผูกพันธ์" ไม่ใช่คำว่า "สัมพันธ์" นะเว้ย
6. ลายเซ็นแปลว่า ลายมือชื่อมักเขียนผิดเป็นคำว่า "ลายเซ็นต์" ติดมาจาก "เปอร์เซ็นต์" รึเปล่า?
7. อีเมลแปลว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์มักเขียนผิดเป็นคำว่า ''อีเมล์" คำนี้ผมก็เขียนผิดบ่อยๆ -*- มันติดอ่ะ
8. แก๊งแปลว่า กลุ่มคนที่ตั้งเป็นพวก(ในทางไม่ดี)มักเขียนผิดเป็นคำว่า "แก๊งค์" หรือไม่ก็ "แกงค์" เอ่อ...มันมาจากภาษาอังกฤษคำว่า gang นะ ควายการันต์มาจากไหน?
9. อนุญาตแปลว่า ยินยอม ยอมให้ ตกลงมักเขียนผิดเป็นคำว่า "อนุญาต" ผิดกันเยอะจริงๆ สับสนกับคำว่า "ญาติ" รึไง?
10. สังเกตแปลว่า กำหนดไว้ หมายไว้ ดูอย่างถ้วนถี่มักเขียนผิดเป็นคำว่า "สังเกตุ" นี่ก็ผิดเยอะพอๆกับคำว่า "อนุญาต" คงติดมาจากคำว่า "สาเหตุ" ล่ะมั้ง?
11. ออฟฟิศแปลว่า สำนักงาน ที่ทำการมักเขียนผิดเป็นคำว่า "ออฟฟิส" ไม่ก็ "ออฟฟิต" คำนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "office" แต่พอมาเป็นภาษาไทยอุตส่าห์ใช้ตัวอักษร "ศ" ให้เท่ๆแล้วเชียว แต่ทำไมกลับสู่สามัญเป็น "ส" ล่ะ หรือไม่ก็เอาคำว่า "ฟิตเนส" มาปนมั่วไปหมด
12. อุตส่าห์แปลว่า บากบั่น ขยัน อดทนมักเขียนผิดเป็นคำว่า "อุดส่า" คำนี้พบไม่บ่อยมากนัก แต่บางคนสะกดด้วย ต เต่า ถูกแล้วแต่ลืมใส่ บการันต์(ห์)
13. โคตรแปลว่า วงศ์สกุล เผ่าพันธุ์ ต้นตระกูลมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โครต" คำยอดฮิตของวัยรุ่น ไม่รู้เพราะสับสนกับคำว่า "เปรต" หรือเพราะในเกมออนไลน์บางเกมมันเซ็นเซอร์คำนี้ก็ไม่รู้ เลยดัดแปลงคำซะเลยจะได้พิมพ์ได้ แล้วก็ติดตามาเป็น "โครต" ในปัจจุบัน
14. ค่ะแปลว่า คำรับที่ผู้หญิงใช้มักเขียนผิดเป็นคำว่า "คะ" คำนี้ไม่ได้เขียนผิดอะไรหรอก แต่ใช้เสียงสูงเสียงต่ำผิด ถ้าจะพูดให้เสียงยาวก็เป็น "คะ" ใช้ต่อท้ายประโยคคำถาม แต่บางทีก็ใช้ "ค่ะ" ยัดลงไปเลย
15. เว็บไซต์แปลว่า (ไม่รู้อ่ะ แต่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "web" แปลว่า ใยแมงมุม ตาข่าย และ "site" แปลว่า กำหนดสถานที่ตั้ง ตั้งอยู่)มักเขียนผิดเป็นคำว่า "เวปไซด์" คำว่า "เวป" อาจติดมาจาก "WAP" ซึ่งแปลว่าอะไรผมก็ไม่รู้ -*- แต่คำว่า "ไซด์" ที่เขียนผิดอาจมาจากคำว่า "side" ที่แปลว่า ด้านข้าง เห็นด้วย (เกี่ยวอะไรกัน?)
16.โอกาสแปลว่า ช่อง จังหวะ เวลาที่เหมาะมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โอกาศ" สงสัยติดมาจากคำว่า "อากาศ"
17.เกมแปลว่า การแข่งขัน การละเล่นเพื่อนความสนุก ลักษณะนามเรียกการแข่งขันจบลงคราวหนึ่งๆมักเขียนผิดเป็นคำว่า "เกมส์" อันนี้เราไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าจะให้มีความหมายในภาษาไทยต้องใช้ "เกม" เพราะมันมาจากคำว่า "game" ในภาษาอังกฤษ
18.ไหมแปลว่า ชื่อแมลงชนิดหนึ่งมีใยใช้ทอผ้า เป็นคำถามมักเขียนผิดเป็นคำว่า "มั้ย" ที่เปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะเพื่อให้เสียงสูงขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า ไม้ มันจะกลายเป็นอีกคำ ถ้าใช้ ไม๊ นี่อ่านไม่ออกเลย -*-

** ลองดูสิว่า เพื่อนๆเขียนผิดกันทั้งหมดกี่คำ **

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

คำศัพท์เกี่ยวกับศีรษะและใบหน้า : La tête et le visage

bouche [n.f.] บูช(เชอ) ปาก
barbe [n.f.] บาร์บ(เบอ) เครา
cheveu [n.m.] / cheveux [n.m.pl.] เชอ-เวอ ผม, เส้นผม
cil [n.m.] ซิล ขนตา
dent [n.f.] ดอง ฟัน
front [n.m.] ฟรง หน้าผาก
joue [n.f.] ชูู แก้ม
langue [n.f.] ลอง(เกอ) ลิ้น
lèvre [n.f.] แลฟ(เวรอ) ริมฝีปาก
menton [n.m.] มอง-ตง คาง
moustache [n.f.] มุส-ตาช(เชอ) หนวด
nez [n.m.] เน่ จมูก
oeil [n.m.] yeux [n.m.pl.] เอย อิ-เยอ ตา, ดวงตา
oreille [n.f.] ออ-เรย(เยอ) หู
sourcil [n.m.] ซูร์-ซิล คิ้ว

ที่มา : http://www.rn.ac.th/kk/corps.htm

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551

ทายซิ..เขาคือใคร?????

ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอน อายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคน นั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคน นั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคน นั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคน นั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้ง ที่สอง

ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผู้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะ หมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่ง ตำนาน

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น... ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความ สามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคน นั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

ชายคน หนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคน นั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคย สอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับ บริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า "เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงาน เสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีนมอนโร

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น... ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคน นั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับ หนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้าน เหรียญ

แล้วเราล่ะ....โตขึ้นจะได้แบบนี้บ้างมั๊ยน้า

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551

23 มีนาคม เทศกาลอีสเตอร์



Pâques est une fête mobile qui se fête entre le 22 mars et le 25 avril. C'est une fête religieuse qui commémore le passage de la Mer Rouge pour la religion juive et la résurrection de Jésus pour la religion chrétienneC'est aussi une fête païenne qui annonce l'éveil du printemps.

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551

คนไทยฉลาดกว่าฝรั่งเนอะ

+++มีคนไทยอยู่ 1 คน พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ
+++ได้เข้าไปทำงานในบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นของต่างชาติ
+++ในทุกวันเขาก็ทำงาน เหมือนเดิมทุกวัน
แต่!!!!!!!!......มีอยู่มาวันหนึ่ง
เขาได้เข้าห้องน้ำในบริษัทแล้วไปเจอ คนฝรั่ง2 คน อยู่ในห้องน้ำ
ซึ่งฝรั่งทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนกันซึ่งกำลังล้างมือ
หลังจาก ฉี่เสร็จ และ พอฝรั่ง 2 คนนั้นเห็นคนไทย
ทั้ง2คน จึงคุยข่มคนไทย ว่า....
ฝรั่งคนที่ 1 "นายเรียนจบที่ไหนว่ะ"
ฝรั่งคนที่ 2 "เราเรียนจบที่ OXFORD จากประเทศ อังกฤษ"
( ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่ 2 ก็ควักน้ำล้างมือมาถึงข้อศอก)ฝรั่งคนที่ 1 เห็นก็งงแล้วถามว่า "ทำไมต้องล้างมือถึงข้อศอกด้วย"
ฝรั่งคนที่ 2 ตอบว่า " ที่อังกฤษเขาสอนให้ล้างอย่างนี้ เพราะ ตอนฉี่ฉี่อาจกระเด็นมาถึงแขนก็ได้ ต้องระวังไว้ก่อน"
(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่1 ก็ควักน้ำมาล้างมือ เฉพาะ ที่มือ แล้วหาไม้มาแคะขี้เล็บออก)
ฝรั่งคนที่ 2 เห็นก็ถามว่า " นายจบจากที่ไหน"
ฝรั่งคนที่ 1 ตอบว่า "เราจบจาก อเมริกา ที่ STAMFORD ที่นั่น เขาสอนให้ล้างมือเฉพาะที่สกปรก แล้วก็แคะขี้เล็บออก เพื่อป้อกกันเชื้อโรค"
ฝรั่ง 2 คนเห็นคนไทยฉี่อยู่ พอคนไทยฉี่เสร็จ ก็เดินออกจากห้องน้ำเลย
ฝรั่งทั้น 2 คนเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่ล้างมือ
เลยวิ่งไปถามคนไทย ว่า "นายจบจากไหน ทำไมถึงไม่ล้างมือ"
คนไทยตอบว่า "จบราม รามไม่สอนให้ฉี่รดมือตัวเอง
55+
ฮาดี เลยเอามาให้อ่าน

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

วิธีการวิเคราะห์โจทย์ reading ของ O-NET และ A-NET

หลายคนอาจจะคิดว่าข้อสอบ O-NET และ A-NET ภาษาอังกฤษในส่วนของ Reading นั้นค่อนข้างยาก จนถึง ยากโคตร เพราะ text ยาว แถมศัพท์ก็ยาก ทำไงดีจะอ่านทันมั้ยเนี่ย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคในการทำโจทย์ของเราเป็นอย่างมาก
วิธีเตรียมตัวคือ REAET (Read Everywhere And Every Time) หรือ อ่านทุกที่ทุกเวลา หมายถึง ว่าง ๆ ก็เอาบทความภาษาอังกฤษมานั่งอ่านเล่น ๆ สักครึ่งชม. ทุกวัน ฝึกไปบ่อย ๆ สมองของเราก็จะสร้างเครือข่ายเซลล์ประสาททางด้านภาษา เราก็จะคล่อง แล้วก็จะชินเวลาทำข้อสอบ ของอย่างงี้ต้องฝึกกันเอาเองนะ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ที่กำลังจะขึ้น ม.6 ควรจะฝึกซะตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะสบายเอง
สำหรับกระทู้จะมาสาธิตวิธีการวิเคราะห์โจทย์ ซึ่งได้เรียบเรียงเอง ไม่ได้ไปคัดลอกวิธีมาจากที่ไหนนะคับ
[A] ในกรณีที่โจทย์ถามหา "ใจความสำคัญ" หรือ main idea มันมักจะ
1) อยู่ที่ paragraph แรก โดยเฉพาะ ประโยคแรก หรืออาจจะประโยคสุดท้ายของ paragraph สุดท้าย หรือพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
2) มักจะอยู่หลังคำเชื่อมที่แปลในทำนองว่า ดังนั้น จึง เพื่อ แต่ อย่างไรก็ตาม ใน paragraph แรก หรือสุดท้าย
ดังนั้นพอมาเจอโจทย์ reading ก็ให้รีบอ่าน paragraph แรกกะสุดท้ายเลยนะคับ จะได้รู้คร่าว ๆ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และก็ควรศึกษาเรื่องคำเชื่อม (conjunction) มาให้แน่น เพราะจะช่วยให้ทำโจทย์คล่อง เดาศัพท์ได้ บวกกับได้คะแนนมาเหนาะ ๆ อย่างน้อย 1 คะแนน ต่อ 1 เนื้อเรื่องคับ
[B] ถ้าโจทย์ให้เราสรุป (ในโจทย์มักใช้คำว่า infer, conclude, summarize ซึ่งแปลว่า สรุป หรือหาข้อยุติ)
1) ให้อ่านทั้งเรื่องอย่างละเอียด แต่ต้องรักษาความเร็วนะคับ
2) ใช้ข้อมูลที่ได้จากเนื้อเรื่อง อนุมานหรือ สรุป ออกมา โดยที่ ข้อความที่เราสรุป จะต้องสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง ถ้าหากไม่ได้กล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง หรือ ไม่สัมพันธ์กะเนื้อเรื่อง ถือว่าผิดทันทีนะคับ ต้องระวัง
[C] ถ้าโจทย์ถาม tone, emotion, feeling หมายถึง น้ำเสียง อารมณ์ ความรู้สึก
1) ให้อ่านทั้งเรื่องเช่นกัน อย่างละเอียด
2) ให้สังเกตการใช้คำว่า
2.1) ใช้คำเรียบ เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ไม่แสดงความชอบหรือไม่ชอบ ก็เลือก neutral = เป็นกลาง
2.2) ใช้คำเข้าชมชอบ หรือ เห็นดีด้วยกับสิ่ง ๆ หนึ่ง ก็ให้เลือก satisfactory หรือ pleased หรือที่แปลในทำนองเดียวกันคับ
2.3) ใช้คำต่อว่า หรือ รุนแรง ไม่เห็นด้วยกับสิ่ง ๆ หนึ่ง โต้แย้ง ก็ให้เลือก argumentative = โต้แย้ง

ขอบคุณ : http://blog.eduzones.com/yimyim/3420